Thursday, October 9, 2014

อันเนื่องมาจาก “กรณี 6 ตุลา”... รำลึกชีวิตที่รอนแรมในขบวนการต่อสู้ (2)

โอ้ – ในที่สุดก็ได้พบแล้ว-ทหารของประชาชน

การเดินทางเข้าเขตการเคลื่อนไหวของคอมมิวนิสต์ เป็นเหตุการณ์เรื่องราวหลากรสชาติที่ “อยากลืมกลับจำ” จริงๆ ค่ะ ยิ่งเป็นอะไรที่ต้องปิดลับๆ ล่อๆ มีการส่งสัญญาณรูปแบบต่างๆ ราวกับอยู่ในหนังแอคชั่นสนั่นโรง / น่าตื่นเต้นค่ะ
หลายคนอาจจะเขียนถึงไว้บ้างแล้ว... เพื่อนๆ ที่เข้าไปที่เดียวกันคงผ่านอะไรเหมือนๆ กันนะคะ ส่วนเพื่อนที่ไม่ได้ผ่านตรงนี้มา พยายามหลับตานึกถึงภาพตามนี้เลยค่ะ
(1) ภาพรถไฟสายใต้ตั๋วชั้นสามขบวนรถนั่งตลอดถึงที่หมายเช้าพอดี แต่ที่นั่งไม่มีๆ แม้แต่ที่ให้หยั่งเท้าลงไป ขอแค่ข้างเดียวก็ยังยาก แถมเรายังหอบหิ้วสัมภาระสิ่งของมาไม่น้อย โดยเฉพาะผ้าห่มนอนสำลีนุ่มหนาสีชมพูผืนใหญ่คนละผืน ก็หาที่วางแสนยาก ฉันโชคดีช่วงหนึ่งมีโอกาสได้หย่อนก้นลงบนที่เท้าแขนของเก้าอี้ที่มีคนนั่งซ้อนทับกันอยู่อย่างเต็มพื้นที่ พอได้หลับนก (ฮูก) ไปนิดหน่อย นี่คงเป็นเพราะต้องการปิดลับลวงพลางให้เรากลมกลืนไปกับมวลชนอันไพศาลนั่นเอง
(2) ภาพสถานีรถไฟปลายทางและชายหนุ่มร่างกำยำที่ขี่มอเตอร์ไบค์เก่งที่สุดในสามโลก หลังจากส่งสัญญาณจนแน่ใจว่าใช่เราแน่แล้ว ก็สามารถพาเราซ้อนท้ายขี่ฉวัดเฉวียนผ่านทางเกวียนทางวัวทางควายไม่มีทางเป็นป่าดิบรกทึบ ขึ้นเนินลงเนินที่เป็นดินเหนียวน้ำแฉะลื่นกว่ากระดานลื่นเด็กเล่น รวมทั้งผ่านหล่มหลุมบ่อโคลนเละตุ้มเป๊ะขนาดควายนอนแช่ไปได้อย่างง่ายดาย ถึงจุดหมายปลายทางอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าของเทพเจ้าซุสแห่งเทือกเขาโอลิมปัสฟาดเปรี้ยงเดียวถึงที่เลยค่ะ ฉันตะคริว (แดก เอ้ย/ กิน เอ๊/ รับประทานสิ) ขาเพราะมันหลุดจากที่วางด้านข้างแล้วเอากลับขึ้นมาอีกไม่ได้เลย ถึงแล้วโล่งใจไม่ว่ากัน ยกนิ้วให้ด้วยขอบคุณค่ะ แต่ไม่กล้าบุ่มบ่ามให้ทิป
(3) ภาพบ้านมวลชนพื้นราบที่น่ารักสุดแสน ที่ให้เราเข้าห้องน้ำอาบน้ำชำระกายเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ ผลัดชุดเก่าที่มอมแมมมะล็อกมะแล็กออกไป และที่สำคัญให้เรารับประทานอาหารเช้าด้วยเมนูอาหารท้องถิ่นสไตล์โฮมสเตย์ เป็นอาหารปักษ์ใต้มื้อแรกที่อร่อยที่สุดเท่าที่เคยทานมา คุณน้าพูดคุยกับเราด้วยน้ำเสียงเบา และราบเรียบ ช่วยปลอบประโลมให้เราหายตื่นเต้นตกใจได้อย่างมาก เสร็จแล้วจึงมีชายวัยกลางคน น่าจะเป็นสหายจากค่ายที่รับมอบหมายมาพาเราเดินขึ้นเขานั่นเอง
(4) ภาพเส้นทางเดินลดเลี้ยวเคี้ยวคดที่มีแต่ขึ้น เราเดินตามคุณลุงไปเรื่อยๆ เหมือนจะไม่มีวันสิ้นสุด เดินไปคุยไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก คุณลุงท่าทางสุขุมใจเย็นไม่รีบร้อน และแสดงความเมตตาเห็นอกเห็นใจเราที่ไม่คุ้นเคยกับการเดินขึ้นเขาเช่นนี้ตลอดทาง
(5) ภาพทหารป่า หลังจากเดินไปเป็นนานสองนาน ประมาณสองสามชั่วโมงการเดินในอัตราความเร็วที่น่าจะต่ำลงเรื่อยๆ ขณะที่คืบคลานสูงขึ้นเรื่อยๆ สัมผัสได้จากไอเย็นและความชื้นรวมทั้งต้นไม้ที่หนาทึบขึ้น ถึงตอนหนึ่งเราอดรนทนไม่ไหว เลยขอถามคุณลุงเรื่องทหารป่าว่า เราจะได้พบเจอพวกเขาไหม ที่ไหนอย่างไร คุณลุงก็บอกว่า อ้อ/ สหายก็ได้พบพวกเขาเรื่อยๆ อยู่แล้ว หากอยู่ที่ราบก็อาจจะแยกไม่ออก คนที่ขี่มอเตอร์ไบค์มาส่งเราก็อาจจะใช่ //โอ้ // จริงเหรือนี่!
“เดี๋ยวก็เจอ แถวๆ นี้ก็มีนะ” คุณลุงบอก เพราะ “นี่ก็เกือบถึงค่ายแล้วครั่บ”
โอ้โฮ! ฉันตื่นเต้นตูมตามมาก อยากได้เห็นเป็นขวัญตาสักหน่อย จะเท่ห์เหมือนที่เราเคยเห็นในภาพยนตร์ไหม จะเหมือนแบบ “เช” (เช เกวาร่า) นายแพทย์นักปฏิวัติชาวอาร์เจนติน่า ที่เป็นไอดอลคนหนึ่งของพวกฝ่ายซ้ายไหมหนอ???
เดินตามกันมาอีกสักพัก คุณลุงก็ส่งสัญญาณว่ามีนักรบของเรายืนอยู่บริเวณหลังต้นไม้ใหญ่ ห่างจากเราไปสักสี่ห้าเมตร ลุงตะโกนส่งภาษาใต้ความหมายว่าสหายมาจากในเมือง อยากทักทาย โหย... เราจ้องไปที่แมกไม้นั้นตาไม่กระพริบเลย ใจเต้นตุ๊บๆ เห็นเงาแว่บๆ ของสุภาพบุรุษนายหนึ่ง ดูเหมือนจะสะพายปืนยาวไว้บนไหล่ ...เมื่อได้ยินเสียงลุง เขาก็ค่อยๆ โผล่ออกมาจากแมกไม้โบกมือทัก หุ่นล่ำสันผิวคล้ำตัวไม่สูงนัก เผยให้เห็นมัดกล้ามบนแผงไหล่และแผ่นอกชัดเจนมาก

ที่เห็นรายละเอียดชัดเจนก็เพราะว่า... นักรบของประชาชนท่านนี้เค้าไม่ได้ใส่เสื้ออยู่นั่นเอง/ 
น่ารักสุดๆค่ะ//

อันเนื่องมาจากกรณี 6 ตุลา... รำลึกชีวิตที่รอนแรมในขบวนการต่อสู้ (1)

สามีมุ่งสู่แนวหลัง ส่วนฉัน...มีคนส่งขึ้นรถไฟไปแนวหน้า...

หลังจากผ่านมา 38 ปี ปีนี้ 2557 เพื่อนพ้องน้องพี่หลายคนอยากให้เขียนเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับฉันและสามี หลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 อย่างน้อยก็เป็นการบันทึกเหตุการณ์เรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงกับเราในช่วงเวลาดังกล่าว ไม่ให้มันขาดหายไป หรืออยู่ในเงามืดจนตายไปพร้อมกับเรา (ซึ่งตอนนี้ก็ชรามากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว...) ก็เลยตัดสินใจจะเขียนเล่าตามมุมมองและความทรงจำของตนเอง... ย้ำ... เขียนเล่าตามมุมมองและความทรงจำของฉันที่อาจลางเลือนไปบ้างแล้วเท่านั้นนะคะ

.........
ในวันที่เกิดกรณี 6 ตุลาคม ปี พ.ศ. 2519 ฉันและคุณอนุชสามีโบกมือบ๋ายบายลูกน้อยที่นั่งอยู่บนตักพี่เลี้ยง ถอยรถออกจากบ้านไปทำงานตามปกติ คุณอนุช แวะส่งฉันที่ออฟฟิศแถวสี่แยกพญาไท แล้วตัวเองก็ขับต่อไปที่ออฟฟิศของตัวเองเหมือนทุกวัน ตอนนั้นฉันทำงานประจำกองบรรณาธิการฝ่ายข่าวต่างประเทศ หนังสือพิมพ์ประชาชาติรายวัน (ที่ต้องปิดตัวเองไปหลังกรณี 6 ตุลา เพราะเป็นหนึ่งในหนังสือพิมพ์ที่ถูกเพ่งเล็ง คู่ๆ กับหนังสือพิมพ์ประชาธิปไตยที่สามีของฉันทำงานอยู่ในตอนนั้น ซึ่งก็ถูกปิดไปด้วยเช่นกัน) เจ้าของประชาชาติขณะนั้นคือคุณขรรค์ชัย บุนปาน นั่นเอง
พอถึงออฟฟิศ ฉันได้เห็นภาพสะเทือนขวัญผ่านทางรายงานข่าวโทรทัศน์ รวมทั้งมีการเคลื่อนไหวแปลกๆ มีคนหน้าตาแปลกๆ เข้ามาในสำนักงาน หลายคนจับกลุ่มพูดคุยกันในบรรยากาศเครียดๆ
สักพักก็มีคนมาบอกว่า สถานการณ์ไม่ดี ต้องออกจากออฟฟิศแต่ห้ามกลับไปที่บ้าน เพราะจะมีการกวาดล้าง (ซึ่งฉันทราบภายหลังว่า มีเจ้าหน้าที่ไปถึงที่บ้านมาตามหาตัวคุณอนุชโดยบอกที่บ้านว่าจะพาตัวไป “ช่วยชาติ” และได้ขนเอาหนังสือในห้องสมุดที่บ้านไปเป็นคันรถ จนบัดนี้ก็ไม่ได้เอามาคืน ส่วนใหญ่เป็นหนังสือสะสมที่ซื้อหาจากงานออกร้านขายหนังสือบ้านเรานี่เอง เช่น งานรวมของเลนิน เป็นชุดใหญ่ปกแข็งอย่างดี เป็นต้น ในวันนั้นคุณแม่ตกใจถึงกับเป็นลมไป)
จากออฟฟิศมีคนมาพาฉัน และคุณเสถียร (จันทิมาธร) ซึ่งมีตำแหน่งใหญ่อยู่ที่นี่ด้วย ไปหลบอยู่ที่บ้านหลังหนึ่งย่านชานเมือง ต่อมามีสมาชิกเข้ามาร่วมอีกคนคือ คุณพรพิไล เลิศวิชา หรือ “สหายนที” (ซึ่งต่อมาเราก็เดินทางไปไหนไปกันสามคนจนถึงแนวหน้า) ที่บ้านหลังนี้มีคนส่งข้าวส่งน้ำให้เรา ตอนกลางวันอยู่ในบ้านเคลื่อนไหวเงียบเชียบ ห้ามพูดคุยออกเสียง ไม่ใช้ชักโครก เพื่อให้ดูเหมือนไม่มีคนอยู่ในบ้าน เราหลบซ่อนอย่างเงียบเชียบอยู่ที่นี่ประมาณ 1 สัปดาห์ ไม่ค่อยรู้ข่าวอะไร ได้ยินกระเส็นกระสายว่ามีการติดตามจับกุมผู้คนที่ถูกหมายหัวว่าเป็น “ซ้าย” ไปมากมาย มีการเอาหนังสือฝ่ายซ้ายซึ่งได้รับการตีพิมพ์ออกมาจำนวนมากในช่วงหลังกรณี 14 ตุลา 2516 มากองสุมแล้วจุดไฟเผา เผา เผา จนวอดวาย
ฉันได้รับทราบในภายหลังว่า หลังจากมีคนพาฉันและคุณเสถียรออกจากออฟฟิศได้ไม่นาน สามีของฉันก็ขับรถมาที่นั่น เราไม่เจอกัน ทราบจากการบอกเล่าของคนที่ดูแลกลุ่มพวกเราที่บ้านหลบภัยว่า คุณอนุช ปลอดภัยแล้ว เท่านั้นฉันก็เบาใจโล่งใจบอกไม่ถูก เพราะฉันรู้ว่าสามีถูกเพ่งเล็งและมีสันติบาลเฝ้าติดตามเขาอยู่ตลอด ในช่วงนั้นเขาเป็นคนเขียนบทนำให้กับหนังสือพิมพ์ประชาธิปไตย และหลังจากนั้นก็ทราบข่าวว่าเขาได้เดินทางเข้าป่าทางภาคเหนือเพื่อไปสู่แนวหลัง
ส่วนฉัน (พร้อมทั้งคุณเสถียรและคุณพรพิไล) หลังจากหลบอยู่ในบ้านนั้นประมาณ 1 สัปดาห์ ก็มีคนพาไปขึ้นรถไฟสายใต้มุ่งสู่แนวหน้า เขตการเคลื่อนไหวของคอมมิวนิสต์ถ้าจำไม่ผิดคืออยู่ในเขตอำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่มีเพื่อนของเราที่เคยทำงานด้วยกันใน กทม. ล่วงหน้าเข้าไปก่อนแล้ว
ตอนนั้น ฉันรู้สึกตื่นเต้นมากตามประสาพวกโลกสวย มโนเอาว่าเราจะได้เห็นทหารของประชาชน เป็นความหวังใหม่ โอ...เราจะได้สังคมใหม่ประเทศไทยใหม่ที่ไม่มีเผด็จการอีกแล้ว ทุกคนจะเสมอภาคเท่าเทียมกัน สังคมที่ก้าวหน้าจะบังเกิดขึ้นแล้ว....

ช่างอ่อนหัดและไร้เดียงสาเสียนี่กระไรเลย///

Saturday, November 2, 2013

ประชาชนที่แท้จริงย่อมเลือกแนวทางสันติเสมอ...

ในสังคมโลกมนุษย์...
การเมืองคือเวทีของการแย่งชิงผลประโยชน์
ผลประโยชน์ของผู้ที่คุมอำนาจถูกถือว่าเป็น “ผลประโยชน์ของชาติ” มาแต่ไหนแต่ไร...
การต่อสู้กันไม่ว่าจะอยู่ในขอบเขตเล็กลึกกว้างใหญ่ระดับไหนเพียงใด ล้วนวางอยู่บนสิ่งนี้ ล้วนเป็นการต่อสู้ระหว่างกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ ที่มีการกระทบกระทั่งกัน
ประชาชนที่เข้าร่วมในการต่อสู้ ทางการเมือง ก็เป็นไปเพื่อปกป้องและเรียกร้องผลประโยชน์ของตนเช่นกัน...
แต่เนื่องจากประชาชนมีฐานเศรษฐกิจหรือผลประโยชน์เล็ก มีแต่ฐานกำลังมากมายมหาศาล จึงมักถูกใช้เป็นที่ยืนของกลุ่มอำนาจต่างๆในสนามรบระหว่างกัน
ดังนั้น ประชาชนกลุ่มใดมีผลประโยชน์อิงแอบอยู่กับกลุ่มอำนาจใด ก็มักกลายเป็นฐานในการต่อสู้ให้กับกลุ่มอำนาจนั้น โดยประชาชนเหล่านั้นก็คิดด้วยใจใสซื่อว่านั่นเป็นการต่อสู้เพื่อปกป้องเรียกร้องผลประโยชน์ของตน ซึ่งย่อมหมายถึงผลประโยชน์ของชาติในความเข้าใจของประชาชนแต่ละกลุ่มเหล่านั้น
.....
พูดแบบนี้ เหมือนกับว่า ประชาชนไม่มีทางเลือกเป็นของตนเองเลยหรือ...?
ตอบเลยว่า “ยาก”
เพราะอะไร?
ก็... ประชาชนมีอะไรอยู่ในมือบ้างล่ะเวลาที่เค้าต่อสู้ชิงอำนาจการเมืองกัน ที่สำคัญก็กลไกของอำนาจรัฐต่างๆ... ทหารตำรวจ? กองทัพอาวุธยุทโธปกรณ์ อำนาจทางศาล กฎหมาย สภา อำนาจการบริหารผ่านกระทรวงทบวงกรมต่างๆ...? ไม่ ไม่..ไม่มีแม้สักนิด...ไม่มีอะไรเลย แม้แต่พลังของตนที่ว่ามีอยู่มากนั้น ก็ถูกกลุ่มผู้มีอำนาจเอาไปใช้เป็นเครื่องมือในการต่อสู้แย่งยื้อผลประโยชน์กันเท่านั้น... อนิจจา...
....
เดี๋ยวนี้ประชาชนไม่โง่นะ... /
อ๊ะ/ จริงหรือเปล่า? อย่าคิดว่าแค่มีเฟซบุ๊ค และสามารถเข้ามาวาง สเตตัส เก๋ๆ ได้นั่นสุดยอดแล้วประมาณนั้นนะ /
เคยตั้งคำถามหรือยังว่า เรากำลังยืนอยู่บนจุดยืนของกลุ่มอำนาจใด? มิพักต้องคิดต่อไปว่า เรากำลังเป็นจิ้งหรีดที่ถูกปั่นหัวด้วยกระแสข่าวจากสำนักข่าวของกลุ่มอำนาจใด? แล้วถ้าเกิดกลายเป็นว่าสิ่งที่เราเชื่ออย่างสุดๆ ว่าดีงาม กลับกลายเป็นเพียงภาพมายาที่เลื่อนลอยแล้ว เราจะเสียขวัญกำลังใจขนาดไหน?
 เราได้เคยสรุปบทเรียนจากอดีตบ้างหรือเปล่า?
การไม่โง่คืออะไร? ในเมื่อเราไม่มีอำนาจกลไกอะไร มีแต่สองมือเปล่า กับสมองหนึ่งก้อน ...เราต้องสามารถคิดวิเคราะห์เพื่อตัดสินให้ได้ว่า... อะไรจะเป็นผลดีแก่เราซึ่งจะเป็นผลดีแก่ส่วนรวมและประเทศชาติด้วย... ใช่หรือไม่?
ประชาชนโดยแท้แล้ว รักสันติ ไม่ชอบสงครามการสู้รบเพราะเค้าต้องเป็นผู้สู้จริงตายจริง ประชาชนโดยแท้จริงรักบ้านเมืองที่สงบสุข ที่จะสามารถทำมาหากินสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แก่ชาติและตนเองได้
...
ประชาชนที่ฉลาดย่อมเลือกแนวทางสันติเสมอ เพราะมันคือผลประโยชน์ที่แท้จริงของประชาชนเอง//

Sunday, January 6, 2013

การเผชิญหน้าของผู้ที่เห็นไม่เหมือนกัน


#####

สวัสดีค่ะเพื่อนๆ ทุกคน สิ่งที่จะพูดนี้ก็เคยไม่อยากเอ่ยถึง แต่ก็อดไม่ได้อีกแล้วค่ะ

สังคมบ้านเราตอนนี้กำลังเผชิญกับสภาวะที่คนมีความคิดเห็นที่ต่างขั้วกันอย่างน่าเป็นห่วงนะคะ ซึ่งฉันมองว่าตอนนี้มันเหมือนได้กลายเป็นหลุมพรางหลุมใหญ่หลุมหนึ่งทีเดียวค่ะ...ใครเผลอตกลงไปก็ยากจะปีนกลับขึ้นมาเลยนะ!

ฉันเองพยายามอย่างมากที่จะไม่พาตัวตกลงไปในหลุมพรางนี้ (แต่ยังสงสัยอยู่ว่า ตอนนี้ฉันเองก็อาจได้ตกลงมาในหลุมนี้เสียแล้วก็เป็นได้)

เอาละค่ะ เดี๋ยวก็พอจะรู้

.....

เพื่อนๆ รู้สึกว่ามันน่าเป็นห่วงไหมคะ ฉันว่ามันน่าห่วงตรงที่ว่า คนเรามองสิ่งเดี่ยวกันแต่กลับตีความไปคนละขั้ว หรือบางทีก็ตีเอียงเข้าข้างตัวเองเฉยๆ เลย... นี่มันหมายความว่าอะไร มันเกิดอะไรขึ้นในสังคมบ้านเมืองของเราหรือ? นี่พวกเรายืนอยู่บนจุดยืนในผืนแผ่นดินเดียวกันหรือเปล่า? หากเรายืนบนจุดเดียวกัน เราก็น่าจะมีมุมมองที่คล้ายๆ กันจริงไหมคะ ดังนั้น การที่คนมองสิ่งเดียวกัน แต่เห็นไปคนละอย่างกัน ย่อมต้องสามารถตั้งสมมติฐานได้ว่า คนเหล่านี้นั้นต้องยืนมองสิ่งนั้นอยู่คนละจุดกันแน่นอน

อันนี้ไม่ใช่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ จริงไหม? /

ขอเพียงแต่เราควรรู้ว่า นี่เรายืนมองสิ่งเดียวกันจากคนละมุมกัน ดังนั้น ย่อมเห็นไม่เหมือนกัน

ที่สำคัญคืออะไร ที่สำคัญคือเราควรยอมรับว่าเรามองสิ่งเดียวกันจากมุมที่ต่างๆ กัน ซึ่งมันก็ไม่ได้ทำให้โลกนี้ต้องแตกดับไปมิใช่หรือ? (หากเป็นการมองอย่างสร้างสรรค์ ถ้าจะว่าไป)

ถ้าเรายอมรับความแตกต่างๆ ว่ามันย่อมเกิดขึ้นได้ในสังคมคนหมู่มาก และหรือหากเราอยากจะได้ชื่อว่านี่เป็นสังคมแบบที่เรียกว่า “ประชาธิปไตย” หรือว่าความจริงพวกเราไม่อยากกันแน่คะเนี่ย?

ไม่อยากเป็นประชาธิปไตยกันแล้วเหรอคะ?

คงไม่หรอกน่า...

.....

นี่มันทำให้ฉันต้องย้อนกลับไปนึกถึงงานที่ชื่อ “The Dialogues of PLATO” ผลงานของเพลโต เขียนถึงบรรยากาศการเคลื่อนไหวทางความคิดปรัชญา สังคม การเมืองในอาณาจักรเอเธนส์ช่วงยุค 400 ปีก่อนคริสต์ศักราช (เมื่อประมาณ 2400 กว่าปีที่ผ่านมา) หลังจากที่โสกราตีส ซึ่งเป็นตัวละครเอกเจ้าความคิด ได้ถูกสำเร็จโทษไปแล้วเมื่อราว 399 ปีก่อน ค.ศ. เป็นบรรยากาศของการโต้แย้งทางความคิดในหมู่นักคิดนักปรัชญาที่เกิดขึ้นมากมายในยุคนั้น และคนทั่วไปก็มีความสนใจที่จะรับฟังการโต้แย้งทางความคิด และฟังความคิดที่ขัดแย้งด้วยความสนใจอย่างยิ่ง เหมือนมีความสุขที่ได้โต้แย้งทางความคิดกับคนเก่งๆ เพราะมันจะทำให้ตนเองปราดเปรื่องขึ้น.... ย้ำ / นั่นคือเมื่อสองพันสี่ร้อยกว่าปีที่ผ่านมา...

แม้แต่บรรยากาศบ้านเราในช่วงก่อนและหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 (เมื่อประมาณ 40 ปีที่ผ่านมา) ก็เป็นบรรยากาศของการโต้แย้งแลกเปลี่ยนทางปัญญาอยู่อย่างมาก รู้สึกว่าจะมากกว่าในปัจจุบันนี้นิดนึงนะฉันว่า

ทุกวันนี้ มันกลายเป็นการแยกขั้วอย่างชัดเจน และต่างขั้วก็ไม่ยินยอมที่จะหันมามองหน้ามองตากันอีกต่อไป...

ช่างเป็นบรรยากาศที่ดูเหมือนกลับสู่ยุคป่าเถื่อน แถวๆมนุษย์ถ้ำโน่นเลยนะเนี่ย ตั้งแต่ยังไม่พัฒนาภาษาการสื่อสารกัน ต้องใช้ภาษากายเป็นหลัก...

ไม่จริงมั๊งง... มันน่าจะเป็นหลุมพรางนะ เป็นเหมือนกับดักของความขัดแย้งในสังคม / ขังตัวเอง กินตัวเอง...

ระวังอย่าตกลงไปง่ายๆ ใช้ความคิดใคร่ครวญให้มากขึ้นอีกๆ เร็วเข้าๆ

.....

เพื่อนๆ คะ อย่าพากันตกลงในหลุมพราง / กับดัก นี้เลย เรามาช่วยกันสร้างถากถางทางเดินใหม่ๆ เพื่อเดินหน้ากันต่อไปดีกว่าค่ะ ใครมีอะไรดีๆ ก็ช่วยกันคิดช่วยกันทำ แชร์กัน สร้างสรรค์กันขึ้นมา ดีกว่านะคะ อย่ามัวไปคิดสงสัยว่าใครเป็นพวกใครเป็นฝ่ายไหน ไม่มีหรอกค่ะ ทุกคนก็เป็นคนในสังคมเดียวกัน เติบโตมาด้วยกันไม่ใช่เหรอ?

รักกันไว้ กอดคอกันไว้แล้วไปด้วยกันดีกว่านะ// ขอฝากเป็นแง่คิด / และหวังว่าเรื่องที่เขียนวันนี้จะไม่ถูกตีความแบบเอียงกระเท่เร่ไปข้างใดข้างหนึ่งซะล่ะ!

ด้วยรักและห่วงใยทุกคนเลยค่ะ//