Saturday, August 21, 2010

น้ำตาแห่งมนุษย์...ก่อนกำเนิดความเมตตาที่ไม่ยั่งยืน





วันนี้...ตอนนี้...น้ำตาฉันไหล...
เมื่อมีเวลามานั่งคิดทบทวน มันเกิดเศร้าใจ กับความไร้สาระของชีวิต  แต่ทำไมชีวิตที่ไร้สาระจึงสร้างความวุ่นวายให้กับเราได้มากมายถึงเพียงนี้? และมันทำให้เราโกรธ โมโหหัวเสียเป็นส่วนใหญ่ จริงนะ...

ฉันพยายามบอกกับตัวเองว่า ชีวิตมันไร้สาระ การเกิดคือความทุกข์ จงรู้เท่าทัน และจัดการมันให้เดินไปตามขั้นตอนให้ดีที่สุด... แต่การจัดการให้ดีที่สุด นี่แหละคือความทุกข์นะ...
เอาละ ถ้างั้น หากจะให้มันทุกข์น้อยก็คือ ไม่ต้องให้ดีที่สุด ให้ดีพอสมควร หรือที่เรียกกันว่า ทางสายกลางไง

Twilight of the meridian
สนธยายามเที่ยงวัน
ทางสายกลาง? ทางสายกลางคืออะไร? ฉันได้คิด คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างมาก...มากยิ่งนักถึงมากที่สุดเลย...

ถ้าหากทางสายกลางคือการทำทุกอย่างเฉพาะหน้าให้เกิดภาวะสมดุล ในสภาพจริงก็คือ เมื่อทุกอย่างหรือหลายอย่างหลายปัจจัย อยู่ในภาวะสมดุลแล้วเท่านั้น เราจึงจะสามารถก้าวเดินต่อไปข้างหน้าได้...
ถ้าหากทางสายกลางคือสิ่งนี้ ในโลกที่เป็นจริง เราก็สามารถนำมันมาใช้กับชีวิตได้...
ทางสายกลาง - ภาวะสมดุลในชีวิต...ในช่วงจังหวะที่อาจแสนสั้นแต่มั่นคงพอที่เราจะก้าวต่อไปได้...
แต่ก็อย่าคิดว่า ภาวะสมดุลที่เราจัดได้มันจะอยู่เช่นนั้นเป็นนิรันดร์ หากเราต้องก้าวเดินไปข้างหน้าอีกก้าวและอีก...

จริงสินะ... เมื่อเราก้าวต่อไปอีกก้าว ชีวิตคืบหน้าต่อไปอีก (ซึ่งมันจะต้องคืบต่อไปอยู่แล้ว ไม่มีอะไรมายับยั้งมันไว้ได้ ทุกอย่างไม่สามารถหยุดอยู่กับที่) เราก็จะต้องพบอุปสรรค ต้องฝ่าฟันไปอีก
เมื่อชีวิตต้องคืบหน้าต่อไป ทางเบื้องหน้าของเราก็อย่าหวังเลยว่าจะราบเรียบ อย่าหวังว่าจะไม่เจอกับความทุกข์ยากลำบาก และความคับข้องใจอีก คิดไว้เลยว่าเราต้องเจอ และมันอาจจะแรงกว่าที่เคยเจอมาแล้วก็เป็นได้...

นี่ก็หมายความว่า สิ่งที่เราควรทำในชีวิตก็คือพยายามสร้างภาวะสมดุลให้เกิดขึ้นในทุกขั้นตอนที่ชีวิตดำเนินไป
แค่นี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนะ การเดินสายกลาง... มันต้องการองค์ประกอบที่เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ รวมทั้งงานหนักแบบจับกังรวมกัน ใครทำตรงนี้ได้ดี ก็ถือว่าเจนจบในมหาวิทยาลัยชีวิตไปขั้นหนึ่ง...
และรู้ไหม... บางทีมันต้องแลกมาด้วยน้ำตา การยอมเสีย การยอมเสี่ยง การยอมผ่อนสั้นผ่อนยาว กระทั่งต้องสละสิ่งที่รักที่หวงแหน โดยไม่มีใครรู้ใครเห็น ไม่มีกล่องมาประดับดวงใจ ไม่มีแก้วแหวนเงินทองมาประดับกาย...

หากเป็นเช่นนี้แล้ว เราจะมีสิ่งใดยึดเหนี่ยว เพื่อก้าวเดินต่อไปอย่างมีแรงพลัง?
บอกตัวเองว่า จงเอาความเมตตาเข้ามาแทนที่ความคับข้องขุ่นใจ เพราะเบื้องหน้าของเราคือชีวิตที่เป็นทุกข์ ชีวิตที่ต้องการความรักความเมตตาความสงสาร ชีวิตที่กำลังดิ้นรน...อยากจะโกรธก็โกรธเถิด เพราะมันคืออารมณ์แห่งมนุษย์ หากอยากจะร้องไห้ ก็จงร้องเถิด เพราะนั่นคือน้ำตาแห่งมนุษย์ ที่เราหลั่งจากใจของมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง หลั่งให้แก่ผู้เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ ร่วมเดินทางกันไปจนกว่าจะสุดปลายทางของแต่ละคน...

...แต่...จงอย่าลืมมีความเมตตาหล่อเลี้ยงอยู่ในใจไว้เสมอละกัน...จงจุดไฟแห่งความเมตตาให้สว่างที่สุดในยามที่มืดที่สุดเสมอนะ...เพราะความเมตตานั้นก็ไม่ยั่งยืน เฉกเช่นเดียวกับสิ่งดีๆ ทั้งปวง...อย่าเศร้าให้มากนักเลย