Thursday, November 26, 2009

จะว่าไรไหมหากจะเรียกฐานชีวิตจริงว่า "สนามประลองยุทธ์" (Battlefield)?

ก็ฉันว่ามันเหมือนกันมากเลยนะ ยกเว้นว่า ที่นี่ไม่ได้ใช้อาวุธยุทโธปกรณ์ ปืนผาหน้าไม้ มายิงใส่กันเปรี้ยงๆ เหมือนในสนามรบในสงครามเท่านั้น จริงไหม?

ลองคิดดูสิ ในสมัยนี้ เมื่อคนๆ หนึ่งลืมตาขึ้นมาดูโลก การอบรมบ่มสอนคืออะไร ถ้าหากไม่ใช่การเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อออกสู่สนามรบ?
เรามักจะได้ยินพ่อแม่ผู้ปกครองเด็กๆ พูดกันว่า "เนี่ย...อย่างนี้แล้ว จะไปสู้ใครเค้าได้..." หรือคนที่ร่ำเรียนจนใกล้จะจบ ก็จะต้องเตรียมตัวเพื่อ "ออกล่าหางาน" (Job hunting) ระหว่างนั้นก็จะต้องศึกษาว่า ทำไงจึงจะสามารถชนะใจผู้สัมภาษณ์ หรือให้เตะตากรรมการให้ได้ นอกเหนือจากการสะสมวิทยายุทธ์ที่ได้ร่ำเรียนมาในสถานศึกษาที่ต้องใช้เวลาเกือบครึ่งชีวิต!!

ฉันคิดว่า มันต้องเป็นอย่างนี้นะ ถ้าหากว่าแต่ละคนยังต้องดำรงชีวิตอยู่ใน ฐานชีวิตฐานใดฐานหนึ่ง หรือหลายฐาน เช่น บางคนทำงานหลายจ๊อบ ก็ถือว่าเก่งพิเศษ รบได้หลายสนาม หาไม่แล้ว คนๆ นั้นก็อาจจะต้องปลีกออก หรือแยกตัวออกจากสังคมทั่วไป...

หรือถ้ามองจากภาพใหญ่ ก็จะพบว่า บรรดาผู้ปกครอง ก็จะแสวงหาทุกวิถีทางในการเลือกเส้นทางที่ดีที่สุด เพื่อเสริมความมั่นคงให้แก่อำนาจในการปกครองของตน และเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้กับทุกพลังที่ขึ้นมาท้าทาย
ดังจะเห็นว่า ประวัติศาสตร์พัฒนาการที่เป็นมาของมนุษย์นั้น ล้วนเป็นเรื่องของการทำสงครามรูปแบบต่างๆ เพื่อต่อสู้ แย่งชิง โค่นล้ม ทำลายล้างกันเสียเป็นส่วนใหญ่ และมักจะพบว่า ผู้ที่สามารถขึ้นมาเป็นผู้นำได้ มักจะมีความแข็งแกร่งพิเศษทั้งร่างกายและจิตใจ รบเก่ง นอกเหนือจากความเฉลียวฉลาดที่เป็นคุณสมบัติอันดับแรก

ดังนั้น ในท่ามกลางการดำเนินชีวิตที่ดูเหมือนธรรมดาๆ ของคนเรา กลับไม่ใช่ธรรมดาๆ ต้องออกวิทยายุทธ์กันอย่างเต็มที่ทุกกระบวนท่า มีโอกาสแพ้ชนะได้อยู่ตลอดเวลา
จึงน่าจะเป็นการสมเหตุสมผลนะ ที่จะกล่าวว่า การดำเนินชีวิตก็คือการทำสงครามอย่างหนึ่ง และฐานของการดำรงชีวิตของเราก็คือ "สนามประลองยุทธ์" อย่างหนึ่งนั่นเอง

เราจึงสามารถพบวีรกรรมรูปแบบต่างๆ หรือคนเก่งๆ ได้ ในสนามประลองยุทธ์ หรือสมรภูมิแห่งชีวิตจริงที่นี่นั่นเอง...

Friday, November 20, 2009

มนุษย์แต่ละคนมีความสามารถในการปรับสัญชาตญาณไปสู่การเรียนรู้ (Human can perceive and tame her own instinct to a learned one)

ถึงแม้ว่าตามลักษณะทั่วไป มนุษย์จะจัดอยู่ในจำพวกเดียวกับสัตว์ฝูง ที่เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม แต่มนุษย์ก็พยายามพิสูจน์ว่า สัตว์ฝูงประเภทมนุษย์นี้ มีความสามารถพิเศษ ที่จะสร้างความแตกต่างจากสิ่งมีชีวิตอื่นๆ นั่นคือ ความสามารถในการเรียนรู้และปรับประยุกต์พฤติกรรมของตนได้ ตามขีดความสามารถในการเรียนรู้ ความตั้งใจที่แน่วแน่ และความแข็งแรงแข็งขันของแต่ละคน รวมทั้งตามความเอื้ออำนวยของสภาวะแวดล้อมที่แต่ละคนดำรงชีวิตอยู่

นี่แหละ คือของขวัญแห่งชีวิตของมนุษย์ !!! มิใช่หรือ??

ความสามารถนี้เปรียบเสมือน แสงสว่างเรืองรองที่ปลายอุโมงค์ หรือสิ่งสวยงามอันสูงส่ง ที่แต่ละคนต้องออกแรงฟันฝ่า เอื้อมไปไขว่คว้าเอามาด้วยแรงกำลังของตนเอง... ไม่มีใครจะหยิบยื่นมาให้ได้

นั่นหมายความว่า หากมีแรงกำลังแข็งขัน ก็สามารถเรียนรู้ได้สูงส่งขึ้นเรื่อยๆ สามารถสร้างพฤติกรรมที่แตกต่างได้มากมายและซับซ้อนขึ้นอย่างไม่มีขีดจำกัด แต่หากใครแรงกำลังน้อย ไม่แข็งแรงแข็งขัน ไม่มีความมุ่งมั่นที่แรงพอ ก็ทำได้ไม่มาก หรือหากไม่มีเลย ก็ทำได้แต่เพียงการลอกเลียนแบบตามสัญชาตญาณเบื้องต้นเท่านั้น...

นี่ก็คือ ที่มาของความแตกต่าง... เราจึงได้เห็นมนุษยชนมีทั้งผู้ที่สร้างความแปลกใหม่ และผู้ที่ได้แต่ลอกเลียนแบบ...ทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว...นั้นแล

(หมายเหตุ...นี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ สังคมของมนุษย์ มีการเยาะเย้ยการลอกเลียนแบบแต่ไม่มีใครห้ามได้)

เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย หรือมีข้อโต้แย้งเพิ่มเติม ว่ามาเลยยยค่าาาาาา

Friday, November 13, 2009

พฤติกรรมเลียนแบบเป็นสัญชาตญาณ

อะไรๆ ที่เกิดโดยสัญชาตญาณหรือ instinct ตามความเข้าใจก็คือมันทำไปโดยอัตโนมัติ โดยที่ไม่รอให้คิดหาเหตุผลให้เสร็จก่อน และบางทีก็ทำไปโดยไม่รู้ตัว หรือเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว
ที่เห็นชัดอย่างเช่น การที่แม่เลี้ยงดูลูกของตัวเอง หรือการเลียนแบบการประดับตกแต่งร่างกาย ที่เราเรียกกันว่าแฟชั่นนี่ ก็เห็นชัดเจนว่า เป็นเรื่องของการสร้างแบบให้คนอื่นทำตาม ดังนั้น ก็มี "นางแบบ" "นายแบบ" เกิดขึ้น เป็นการใช้ประโยชน์จากสัญชาตญาณที่มีอยู่ในตัวทุกคนได้อย่างเห็นผลประจักษ์อย่างมาก
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการเลียนแบบเป็นสัญชาตญาณ มันเกิดขึ้นเองจากผัสสะทั้งหมดพร้อมๆ กันของสิ่งมีชีวิตต่างๆ ไม่เพียงแต่คนเรา ปรามาจารย์ท่านบอกว่า มันเป็นสัญชาตญาณแห่งการอยู่รอดอย่างหนึ่ง
ดังนั้น อย่าคิดที่จะไประงับหักห้ามหรือประณามกัน หากใครทำอะไรที่คิดว่าอยากแสดงความเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียว ก็จงรีบไปจดสิทธิบัตรเอาไว้ นั่นแหละที่ทำได้ แต่ไม่มีทางห้ามการเลียนแบบได้เลย เชื่อเหอะ เพราะมันเป็นธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตนะ แม้กระทั่งกิริยาท่าทางนี่ก็เลียนแบบกันไปโดยไม่รู้ตัว พอทำไปนานๆ มันก็จะเหมือนกันมาก เคยสังเกตไหม บางทีคนที่อยู่ด้วยกันนานๆ ก็พาลหน้าตาท่าทางเหมือนกันไปโดยไม่รู้ตัว นับประสาอะไรกับสุนัขที่มีเจ้าของเลี้ยงดูอย่างดีแล้วถูกล้อเลียนว่าหน้าตาเหมือนกัน (ก็มันนั่นแหละเลียนแบบหน้าตาท่าทางของเจ้าของไปน่ะสิ) แม้กระทั่งระบบในร่างกายของคนเราก็ยังเลียนแบบกัน เช่น เพื่อนหญิงที่อยู่อพาร์ตเม้นท์ด้วยกัน บางทีจะเป็นรอบเดือนในเวลาใกล้เคียงกัน ลองสังเกตดู ฮ่า ฮ่า (อันนี้เอาเป็นแค่ข้อสังเกตนะ หากผู้รู้ท่านใดมีข้อมูลกรุณานำมาแลกเปลี่ยนกันให้กว้างขวางด้วยก็จะดีไม่น้อย)
หากใครมีความคิดเห็นหรือข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ นำมาแลกเปลี่ยนกันบ้างนะคะ...สวัสดีค่ะ

Tuesday, November 10, 2009

นี่แหละ...รสชาติของชีวิต

สวัสดีค่ะเพื่อนๆ ชาวบล็อก

ฉันเป็นชาวบล็อกมือใหม่ แต่ใจรัก... ตั้งใจจะลองเปิดประเด็นแลกเปลี่ยนเรื่องที่อยู่ในใจมากมายหลายเรื่อง ประเด็นเริ่มแรกมาจากชื่อบล็อก "รสชาติของชีวิต" ได้ยินจนคุ้นหู แต่ก็คิดว่าแต่ละคนจะมีมุมมองที่ต่างๆ กันในเรื่องนี้

ฉันชอบคำนี้ เนื่องจากพบว่า มันเป็นคำที่มีความหมายกว้างขวางมาก และไม่ว่าใครจะเจอกับอะไรเมื่อชีวิตได้ลืมตามองโลก ก็ล้วนเป็น รสชาติของชีวิต ได้ทั้งหมด

แต่คำว่า "รสชาติของชีวิต" ของมนุษย์เราที่มีโอกาสได้ลืมตาดูโลก และเติบโตโลดแล่นอยู่บนโลกนี้ จะได้ผ่านพบคล้ายๆ กัน นั่นคือ สุข...ทุกข์...ยิ้ม...หัวเราะ...ร้องไห้ และมีคำปลุกใจเช่น จงก้าวต่อไปตราบที่ยังมีลมหายใจ... และหากคนเราเจอหน้ากัน ยิ่งหากเป็นคนใกล้ชิด คุ้นเคย เพื่อนรักเพื่อนซี้ ลองทักถามว่าชีวิตเป็นอย่างไร... ปัญหาต่างๆ ความยากลำบากนานา จะพรั่งพรูออกมาไม่มากก็น้อย...

"ความสุขในความทุกข์" นี่แหละคือรสชาติของชีวิต ของแท้

ดังนั้น เจอหน้ากัน ถามไปเถอะ...ชีวิตทุกข์เข็ญเป็นเช่นไร??? เราจะได้รับคำตอบที่แน่ชัดและจริงใจจากทุกคน - ขอให้มีความสุขมากๆ นะคะ - สวัสดีค่ะ