Saturday, December 22, 2012

ช่วยลูกๆ ค้นหาตัวเองให้เจอยิ่งเร็วยิ่งดี


(ชี้แจง เพื่อนๆ ชาวบล็อกและท่านที่สนใจข้อเขียนในบล็อกนี้ทุกๆ ท่าน ข้อความข้างล่างนี้ เดิมฉันตั้งใจเขียนโพสต์ในบล็อกมอมี่พีเดีย เพื่อเชิญชวนคุณพ่อคุณแม่ช่วยลูกค้นหาตัวเอง แต่ปรากฏว่ามีอุปสรรคในการโพสต์ข้อความลงในบล็อกดังกล่าว และเห็นว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกันกับที่เขียนไว้ก่อนหน้านี้ จึงขอนำมาลงไว้ที่นี่เสียเลยนะคะ Enjoy!)  

สวัสดีค่ะเพื่อนๆ และคุณพ่อคุณแม่ชาวบล็อก

วันนี้อยากเข้ามาแลกเปลี่ยนกับเพื่อนๆ เรื่องหนึ่งที่ติดอยู่ในใจมานานพอสมควรค่ะ และคิดว่าการแลกเปลี่ยนนี้น่าจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อย

#####

บรรดาพ่อแม่ที่เคยเลี้ยงลูกๆ หรือครูอาจารย์ที่สอนเด็กๆ คงเห็นด้วยกันนะคะว่า จะมีคำถามหนึ่งที่ตั้งขึ้นสำหรับเด็กๆ นั่นคือ  “โตขึ้นอยากเป็นอะไรๆๆ...”

เด็กๆ ที่ยังเล็กๆ ชั้นอนุบาล – ประถมศึกษา ก็มักจะมีคำตอบคล้ายๆ กัน เช่น  “หนูอยากเป็นครู” “อยากเป็นหมอ” “อยากเป็นพยาบาล” “นักบิน” ฯลฯ อ้อ / เดี๋ยวนี้มีอีกอย่าง “อยากเป็นนักการเมือง” อะไรทำนองนี้นะคะ

บางท่านอาจจะรู้สึกได้ว่า ยังมีอีกๆๆ เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่เด็กๆ คิดอยากเป็นมากขึ้นกว่าแต่ก่อนเยอะ เช่น อยากเป็นนายธนาคาร นักการเงิน นักการตลาด ประชาสัมพันธ์ ผู้กำกับหนัง ดารานักร้องนักแสดง (อันหลังนี่มีมากโดยเฉพาะบ้านเรา) ฯลฯ

จริงด้วยค่ะ /

ฉันว่าน่าสนใจตรงที่เดี๋ยวนี้เด็กๆ สามารถคิดอยากเป็นอะไรๆ ได้มากกว่าแต่ก่อน มากกว่าเมื่อสักสองสามทศวรรษที่ผ่านมานะคะ

#####

สมัยก่อนโน้น เราคิดอะไรไม่ค่อยออก หาตัวเองกันไม่ค่อยจะเจอ จนกระทั่งมีชื่อเรียกขานว่า ยุค “การแสวงหาจิตวิญญาณ” หรือ Soul Searching ซึ่งแสดงออกในรูปแบบวัยรุ่นคนรุ่นใหม่เป็นฮิปปี้ ไว้ผมยาว ต่อต้านคนรุ่นเก่า ไม่ยอมรับ Anti-establishment การปฏิวัติ ยุคนี้อยู่ในช่วงทศวรรษปี ค.ศ. 1960 -70 นั่นเอง

ปัจจุบันนี้คนรุ่นนี้มีลูกมีหลาน ขณะที่โลกก็ได้ย่างก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ที่เรียกขานว่า “ยุคข่าวสารและเทคโนโลยีความเร็วสูง”  หรือ “ยุคสังคมฐานความรู้” (Knowledge – based Society)

ทุกท่านคงทราบดีแล้วว่าเรากำลังอยู่ในยุคใหม่ ที่อะไรๆ ก็จะไม่เหมือนเดิม สังเกตจากระบบการศึกษา ซึ่งเป็นกลไกหลักในการป้อนกำลังคนเข้าสู่สังคม เราพบว่าสถาบันการศึกษาต่างๆ มีระบบการเรียนการสอน ประกอบด้วยวิชาที่ให้เลือกเรียนโดยมีการแยกย่อยมากขึ้นกว่าสมัยก่อนมาก แสดงว่าระบบสังคมมีความต้องการกำลังคนที่มีความรู้ความสามารถเฉพาะในสาขาต่างๆ มากขึ้น ซึ่งบางคนอาจได้ยินชื่อ “ยุคสังคมฐานความรู้” นั่นแหละค่ะยุคที่ว่านี้

นั่นคือที่มาของการที่หลักสูตรการเรียนการสอนที่จะสามารถสร้างคนที่มีความรู้ความสามารถเฉพาะ จบออกมา แล้วก็เข้าสู่โลกการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

และบนพื้นฐานของสังคมข่าวสารที่มีเทคโนโลยีรองรับความรวดเร็วในการแสวงหาข้อมูลความรู้ต่างๆ ได้อย่างดีนี่เอง ที่จะมาสนองความอยากรู้ของผู้คนในสังคม เช่น ถ้าฉันชอบแบบนี้ๆๆ ฉันจะไปแสวงหาความรู้ความชำนาญได้อย่างไร และเมื่อมีความรู้อย่างนี้ๆๆ ฉันจะเข้าไปทำงานที่ไหนเพื่อสานฝันให้เป็นจริง...

นี่ไงคะ ความเป็นไปได้ที่เด็กๆ จะสามารถล่าฝันของตัวเองได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

และนี่ก็คือความเป็นไปได้ที่ทุกคนจะสามารถค้นพบตัวเองได้เสมอ

#####

เอาละค่ะ พ่อแม่พี่น้องที่รัก ที่นี่เองแหละคือหน้าที่ของพ่อแม่ผู้ปกครอง และโรงเรียน ที่จะช่วย Lead ความคิดของเด็กๆ ช่วยให้เด็กค้นพบความสามารถเฉพาะตัวของเค้า ช่วยให้เขาค้นพบตัวเองได้เร็วขึ้น

เมื่อเด็กค้นพบตัวเองได้เร็ว เค้าก็จะเติบโตเร็ว ไม่ต้องอยู่ในระบบการศึกษากันนานเป็นสิบยี่สิบปี

เมื่อค้นพบตัวเองแล้ว เท่ากับว่าเค้ามีความสุกงอม Matured  แล้วก็จะอยากออกมาทำอะไรต่ออะไรที่เค้าอยากทำ และเมื่อเค้าทำได้ เค้าก็จะมีความสุขกับสิ่งที่ทำนั้นด้วยค่ะ หรือหากเค้าเกิดไม่ชอบสิ่งที่ทำ เค้าก็จะสามารถปรับเปลี่ยนของเค้าได้เอง โดยอยู่ใน Scope ความสามารถที่เค้าฝึกฝนตนเองมาตั้งแต่เด็กนั่นเองค่ะ

พ่อแม่พี่น้องที่รัก การศึกษาและพัฒนาการของลูกๆ ก็คือการเรียนรู้ของคนๆ หนึ่งที่จะพบตัวเองว่า เราเกิดมาเพื่อทำอะไร เดี๋ยวนี้มีฐานรองรับที่จะค้นพบตัวเองได้ไม่ยากแล้วค่ะ ช่วยลูก ช่วยให้เค้าพบตัวเองได้เร็วๆ กันเถอะค่ะ
ฉันเชื่อในสิ่งนี้ว่าเราทำได้ / ขอให้ทุกท่านโชคดี / สวัสดีค่ะ

Sunday, December 2, 2012

ลูกรัก...จงอย่าเปลี่ยนเส้นทางที่เลือกแล้วไปง่ายๆ


สวัสดีค่ะเพื่อนๆ ชาวบล็อกทุกท่าน

ฉันหายไปนาน ต้องขอโทษด้วย ก็ชีวิตมันยังไม่สิ้นก็เลยต้องบากบั่นกัดฟันไปเรื่อยๆ นะคะ งานรุมเร้าเลยไม่ได้เข้ามาเขียนบล็อกคุยกับทุกท่าน

วันนี้งานเสร็จก็เลยรีบเข้ามา เพราะอยากมาคุยเรื่องการเลือกเส้นทางก้าวเดินไปในโลกของเด็กๆ โดยเฉพาะลูกๆ ของเราค่ะ... อยากคุยเรื่องนี้มาหลายเพลาแล้วค่ะ เพิ่งได้ฤกษ์ดีวันนี้เอง...

.....

ฉันนั้นมีความคิดเห็นหนึ่งที่สรุปขึ้นมาจากการสังเกตว่า

ในทุกวันนี้ / คุณพ่อคุณแม่ที่มีลูก ไม่ว่าจะอยู่ในวัยไหน ตั้งแต่เล็กจนโตเลยนะคะ สิ่งหนึ่งที่เราจะต้องให้ความสนใจตลอดก็คือ การให้ความเอาใจใส่กับเส้นทางที่ลูกของเราจะเลือกก้าวเดินไปในอนาคตค่ะ

...หลายคนหรือทุกคนน่าจะคิดเหมือนๆ กันอยู่แล้วนะคะ

และอยากจะบอกด้วยซ้ำว่า เรื่องนี้ต้องให้ความสนใจอย่างจริงจังกันตั้งแต่เล็กเลยก็ว่าได้นะคะ เพราะโลกเราสมัยนี้ไม่เหมือนสมัยก่อนแล้ว...

เมื่อก่อนเป็นไงคะ...

“เมื่อก่อน” ในที่นี้ น่าจะหมายถึงราวๆ ยุค ทศวรรษ 60 – 80 (1960s-1980) ก็นานมาแล้วเหมือนกัน...

บางท่านอาจจะพูดได้ว่าเป็นรุ่นที่คุณยายคุณตายังหนุ่มสาวกัน นั่นแหละใช้แล้วนะคะ ยุคนั้นยังไม่มีใครมองเห็นอะไรๆ ชัดเจนนัก ...เลือกเรียนอะไรไปก็ยังไม่รู้ว่าจะไปทำอะไร และก็มักจบลงด้วยการไปทำงานที่ไม่ค่อยตรงกับที่เรียนมาเท่าไหร่ ที่มีชัดหน่อยก็เห็นจะเป็นพวกแพทย์ กับวิศวกร ทนายความ และก็พวกครูบางส่วนเท่านั้น... ยุคนี้เค้าเรียกว่า ยุค “เบบี้บูมเมอร์” เศรษฐกิจเจริญเติบโต ต้องการแรงงานพนักงานเข้าทำงานแบบไม่อั้น ไม่รู้ก็ไปฝึกเอาๆๆ เป็นอันใช้ได้

....

เดี๋ยวนี้ฉันว่ามันไม่เป็นแบบนั้นแล้วมันเปลี่ยนไปมากๆ เลย ทุกท่านคงเห็นด้วยในประเด็นนี้

อาจจะเนื่องด้วยโลกได้เข้าสู่ยุคข่าวสารและเทคโนโลยีขั้นสูง ทำให้ความรู้ต่างๆ แพร่กระจายไปได้กว้างขวางรวดเร็วชั่วพริบตา ผู้ที่มีทักษะการใช้เทคโนโลยีและมีฐานความรู้ที่ดี ก็สามารถดักรับรู้ข่าวสารและแสวงหาความรู้ได้เก่ง ดี เร็ว และก็จะมีความสามารถในการคิดวิเคราะห์ และค้นพบตัวเองได้เร็วว่าตัวเองชอบอยากทำอะไรที่ไหนอย่างไร

การมีสำนึกและสามารถค้นพบตัวเองของลูกๆ เป็นเรื่องที่มีความสำคัญมาก... แต่ที่แน่นอนที่สุด พ่อแม่หรือบ้านและโรงเรียนย่อมต้องมีบทบาทสำคัญอย่างมากในเรื่องนี้

เพราะเราจะเห็นว่า เด็กๆ ก็มักจะอยากเป็นโน่นเป็นนี่ ที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามข้อมูล / ประสบการณ์ที่ตัวเค้าได้พบได้เห็นและมีความประทับใจ

ดังนั้น การค้นพบตัวเองของลูกๆ นั้น มิได้หมายความว่า คือเรื่องที่พวกเค้าค้นพบของเค้าเองโดยธรรมชาติเอง หรือเรื่องที่ว่า พ่อแม่หรือคนอื่นๆ จะบังคับหรือยัดเยียดให้เค้าเป็นนั่นเป็นนี่ได้แบบง่ายๆ อย่างนั้นนะคะ

.....

จะพูดไป มันก็คือศิลปะของการดูแลเลี้ยงดูเด็กอย่างหนึ่ง ที่เป็นบทบาททั้งของพ่อแม่ผู้ปกครองและของโรงเรียนเป็นสำคัญ และก็เป็นสิ่งที่มาจากความปรารถนาที่จะได้เป็นนั่นนี่ของเด็กที่สอดคล้องกันไปด้วยกันค่ะ

ดังนั้น เราไม่ว่าจะเป็นใคร ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปบงการให้เด็กๆ โตขึ้นจงเป็นโน่นเป็นนี่ เรามีแต่ต้องเปิดกว้างให้เค้าได้เลือกสิ่งที่เค้าได้แรงบันดาลใจอยากเป็น และให้เค้าได้รับข้อมูลที่ถูกต้องว่า สิ่งที่เค้าอยากเป็นนั้นคืออะไร มีสถานภาพอย่างไร อยู่ตรงส่วนไหนขององคาพยพใหญ่ของสังคมทั้งหมด และมองไปจนถึงอนาคตว่ามันจะเป็นไปอย่างไร

หากเด็กมีความเข้าใจสิ่งที่เค้าใฝ่ฝันอยากเป็น และมุ่งหน้าก้าวเดินไปบนเส้นทางเหล่านั้นได้เร็ว เค้าก็จะไม่ต้องไปเสียเวลากับการลองคิดผิดคิดถูก ใช่ไม่ใช่ เปลี่ยนใหม่ดีกว่า... ซึ่งสำหรับยุคสมัยนี้ มันก็คือต้องเสียเวลาไป และก้าวไม่ทันคนอื่น ที่เค้าชัดเจนมาแบบสายตรงไม่คดเคี้ยวเลี้ยวไปมาๆ

...

ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปจริงๆ ค่ะ

ยุคนี้ไม่มีเวลาให้ลองผิดลองถูกมากนัก เด็กๆ ทุกคนเหมือนต้องฝึกฝนตนเองเป็น “มือโปร” มาตั้งแต่วัยเรียน พอเรียนจบก็เข้าสู่โลกของการทำงานแบบมืออาชีพกันเลยค่ะ

นั่นจึงเป็นที่มาของหัวเรื่องที่อยากจะบอกเด็กๆ ทั้งหลายว่า...

...ลูกเอ๋ย... จงอย่าเปลี่ยนเส้นทาง / ให้เล็งแม่นๆ แล้วมุ่งหน้าไปโดยเร็ว จงยึดโยงอยู่ในเส้นทางที่เราเลือกและมีความรู้เกี่ยวกับมันมากที่สุด...

ยุคนี้คือยุคสังคมความรู้ จงเลือกทำในสิ่งที่เรามีความรู้มากที่สุด ดีที่สุดแล้วจ้ะ.../
โชคดี แล้วพบกันใหม่นะคะ / สวัสดีค่ะ

Sunday, September 30, 2012

มองดูคนรุ่นนี้ เค้าต้องเก่งกว่ารุ่นเรามากกก...


#####

ในวันที่บรรยากาศครึ้มๆ อึมครึม พิลึกๆๆ วันนี้ ก็นึกอยากเขียนถึงคนรุ่นหลัง รุ่นลูกๆ ก็คือคนรุ่นนี้ขึ้นมาค่ะ.....

#####

ก่อนอื่น ก็อยากจะบอกรักค่ะ... รักและเชื่อมั่นในตัวพวกเค้ามากๆ จากใจเลยจริงๆ นะ เพราะอะไรหรือ?...

เพราะฉันเห็นว่า โดยเฉพาะในช่วงเวลานี้... พวกเค้าเหมือนต้องดำเนินชีวิตมีลมหายใจอยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่มีแต่ความยุ่งเหยิง น่าเหนื่อยหน่ายในเกือบทุกๆ ด้าน ในทั่วทุกแห่ง ไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็เผชิญ เรียกว่าหนีไปให้พ้นยากมากๆ (ยากกว่าสมัยของเราเยอะค่ะ)

หลายๆ คน โดยเฉพาะคนที่ต้องไปทำงาน ดูเหมือนต้องลืมตาตื่นขึ้นกลางสนามรบทุกวัน อาจไม่เว้นแม้เสาร์-อาทิตย์ (ซึ่งดูเหมือนเป็นสองวันที่ทุกคนรู้สึกหวงแหนเป็นพิเศษ)

และที่สำคัญ ที่บอกว่ารัก ก็เพราะว่า ฉันรู้สึกว่า คนที่เติบโตในยุคที่การสื่อสารมีความสดรวดเร็ว เค้าต้องมีประสาทที่แข็งแกร่งประสิทธิภาพสูงกว่าในยุคของฉันมาก เค้าต้องมีอาวุธรอบกายสำหรับรองรับต่อสู้ป้องกันตัวเอง โดยเฉพาะจากการจู่โจมของข่าวสารที่หลั่งไหลเข้ามาอยู่ตลอดเวลา... เค้าต้องรู้จังหวะของการเปิด-ปิดรับข่าวสาร

เค้าต้องมีจิตใจที่แข็งแกร่ง รู้จักการแยกแยะ กลั่นกรอง รู้เท่าทัน เค้าต้องเป็นเหมือนหน่วยข่าวกรองสำเร็จรูปเคลื่อนที่... กลั่นกรองได้ดีถูกต้องมาก ก็สามารถกำหนดท่าทีการดำเนินชีวิตการทำงานที่มีความผิดพลาดน้อย และส่งผลดีได้มาก เป็นต้น

และนี่แหละ... ก็คือบรรทัดฐานที่จะบ่งชี้ความเก่งฉกาจของคนรุ่นนี้

#####

บอกได้เลยว่า... คนรุ่นลูก – หลานของเรา เค้าคือคนในยุคข่าวสารที่แท้จริงค่ะ

และคนรุ่นนี้ เค้ามีพ่อแม่ ปู่ย่าตายายที่เติบโตมาในยุคของการแสวงหาจิตวิญญาณที่สูญหายไป ที่มีเพลงประจำยุคที่ร้องว่า... “หากคุณจะมาที่ ซาน ฟรานซิสโก... ก็อย่าลืมทัดดอกไม้ไว้ที่ข้างหูด้วยนะ...” หรือ จากบ้านไปไกลแค่ 100500 ไมล์ ก็ร้องเพลงคร่ำครวญ รู้สึกเหมือนห่างไกลมาก.... ไม่รู้เมื่อไหร่จะได้เจอกันอีกไหมหนอ....

เดี๋ยวนี้เป็นไง อยู่ที่ไหน ส่วนไหนของโลก ก็เหมือนอยู่ห่างกันแค่คลิกเม๊าธ์ทีสองทีเท่านั้น...

ใครจะไปนึกไปคิดว่ามันจะออกมาเป็นแบบนี้ มันค่อยๆ มาๆๆ และอยู่ๆ มันก็เป็นแบบนี้เลย ต่อหน้าต่อตาฉันเลย

ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ที่มีลูก ก็อย่าไปเสียอกเสียใจนะว่าลูกทำไมเค้าไม่เหมือนกะเราเล้ย... เค้าไม่เหมือนเรานั่นเป็นสัญญาณที่ดีนะฉันว่า เพียงแต่ว่า เค้าจะเป็นแบบไหน ก็ต้องเฝ้าสังเกตดู...

ก็น่าจะมีหลายๆ แบบ ของใครของมัน แต่ขณะเดียวกัน มันก็น่าจะมีอะไรๆ ที่เป็นแก่นแกนกลางๆ ที่คล้ายๆ กันอยู่บ้างนะคะ ...อย่างน้อยในภาพลักษณ์ภายนอกที่มองเห็นได้ เช่น มีอุปกรณ์ประจำตัว เป็นแล็บท็อป มีแอร์การ์ด มีมือถือแบบ 3-จี ที่ สามารถเข้าอินเทอร์เน็ตได้ทุกที่ทุกเวลา สามารถคุย /ส่งข่าวสารผ่านไลน์ สไกป์ บีบี ว็อทสแอ็พ และมักมีบลูธูทติดอยู่ที่หู คล้ายในหนังอนาคตหรือไซไฟ ที่เคยดู เป็นต้น

สมัยเรา อย่างดีก็มีแค่สมุดบันทึกเล่มน้อยเล่มใหญ่... มีเทปอัดเสียง กล้องถ่ายภาพ วิทยุคลื่นสั้น ก็เท่ระเบิดแล้ว /

#####

ดังนั้น หากคุณเป็นคนแบบ ตื่นเช้ามาหยิบหนังสือพิมพ์อ่าน 5-10 ฉบับ จนมือดำ...

แต่ลูกคุณไม่แตะหนังสือพิมพ์สักฉบับ กลับรู้ข่าวสำคัญๆ ก่อนเรา ผ่านทวิตเตอร์ และอุปกรณ์รับ/ ส่งข่าวสารอื่นๆ ประจำตัวของเค้าเรียบร้อยแล้ว สามารถแลกเปลี่ยนทัศนะเกี่ยวกับข่าวสารต่างๆ กับคุณบนโต๊ะอาหารตอนเช้าได้อย่างรวดเร็ว คล่องแคล่ว

และยังพร้อมตัดสินใจ ใช้ / ทิ้งข่าวสารที่ไม่สำคัญจำเป็นไปอย่างรวดเร็ว ไม่มีลังเลเลย...

เพราะเค้ารู้ว่า เมื่อจะใช้ข่าวสารจะสามารถไปดึงเอามาจากที่ไหนได้บ้าง

รวดเร็วยิ่งกว่ากามนิตหนุ่ม...

นั่นก็คือเหตุผลที่ว่า ทำไมคนรุ่นนี้ เค้าไม่มีความรู้สึกเหมือนจะถูกข่าวสารทับตาย เหมือนรุ่นฉัน...

ในช่วงรอยต่อก่อนมีอินเทอร์เน็ต คนที่ชอบติดตามข่าวสาร มักชอบตัดหนังสือพิมพ์ เก็บเข้าแฟ้มๆๆๆ นานๆ เข้ามันมากขึ้นๆ เวลาจะย้อนไปดูเหมือนจมอยู่ในทะเลข่าวสาร หากใครทำคลิปปิ้งด้วย จะค้นหาข่าวสารสักเรื่อง เหมือนกำลังจะถูกคลิปปิ้งทับตายซะให้ได้...

ฉันเองเคยมีห้องขนาดประมาณเกือบ 20 ตรม. ที่มีชั้นเก็บคลิปปิ้งอยู่เต็มทั้งห้อง สูงจากพื้นยังหลังคา...

บ้าไปได้ขนาดนั้นจริงๆๆ (แต่บ้าได้ไม่นาน ยุคข่าวสารมันผันแปรรวดเร็วมาก ได้ช่วยฉันไว้/)

#####

เอาละค่ะ เขียนมาถึงตรงนี้ หลายคนอาจจะคิดว่า ฉันคงจบลงด้วยการที่จะพูดว่า คนรุ่นนี้คือคนไร้กระดาษ คือไม่มีความจำเป็นที่จะต้องข้องเกี่ยวกับข่าวสารที่อยู่หน้ากระดาษ หรือในรูปเล่มหนังสือกันอีกต่อไป...

ไม่ ไม่เลยค่ะ... ตอนนี้ยังไม่เห็นเป็นแบบนั้นนะคะ

ที่ฉันสังเกตเห็น แม้ว่าหลายคนมีอุปกรณ์ที่สามารถใช้โปรแกรมปฏิบัติการณ์ที่โหลดหนังสือมาอ่านได้เป็นเล่มๆ อยู่ในมือ และหนังสือเล่มในปัจจุบันที่มีการทำเป็น ดิจิตัล มากขึ้นๆๆ

แต่ที่ฉันเห็นกับตา... คนรุ่นนี้ยังคงอ่านหนังสือเป็นเล่ม ยังแสวงหาหนังสือดีๆ มาอ่านกันอยู่ตลอดเวลา...

(อาจเป็นเพราะในขณะนี้... หนังสือดิจิตัล ยังไม่มีอยู่อย่างเต็มรูปแบบเพียงพอก็เป็นได้นะคะ)

#####

ขอบอกว่า... รักคนรุ่นนี้จริงๆ ยอมรับว่าเก่งจริงๆ เก่งกว่ารุ่นพ่อแม่แน่นอน...

และก็เชื่อมั่นว่า คนรุ่นนี้จะแข็งแกร่งและสามารถนำพาสังคมมนุษย์ของเราฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ให้ก้าวกระโดดต่อไปได้เป็นอย่างดี... คนรุ่นพ่อแม่นี่ก็จะหนุนช่วยจนสุดตัวเลย อย่าสงสัย เพราะเค้ามีรักเป็นทุนเดิมที่มั่นคงอยู่แล้วไง

อ้อ / และรักคนอ่านด้วยค่ะ

บล็อกหน้าเจอกันใหม่นะคะ บ๊าย บาย...

#####

Sunday, July 22, 2012

การต่อสู้ของฉันเมื่อยาม “ระบบรวน”...


(ชี้แจง -อาการระบบรวนของฉันอาจจะเป็นการเฉพาะตัวนะคะ เขียนเพื่อแลกเปลี่ยนและเล่าสู่กันฟังค่ะ)

########
อาการระบบรวนของฉันที่ก่อปัญหามากคือ อาการหิวและอยากรับประทานอาหารอยู่ตลอดเวลา อาการนี้เคยเกิดขึ้นกับฉันมาหลายครั้งแล้ว และสังเกตได้ว่า จะเกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัดหลังจากรับประทานอาหารเสริมประเภทวิตามิน โดยเฉพาะประเภทวิตามินบีต่างๆ และยาประเภทที่บอกว่าบำรุงกระดูก บำรุงตา บำรุงโน่นบำรุงนี่...
ก็เนื่องจากเราเข้าสู่วัยชรา ร่างกายมันก็เสื่อม...
ล่าสุด ฉันก็ได้รับประทานยาที่ระบุว่าเพื่อบำรุงตา เนื่องจากฉันเกิดมีอาการตาพร่าเวลามองจอคอมพิวเตอร์
ทานยาบำรุงตานี้ไปได้พักเดียว...อาการรวนของระบบการกินก็เกิดขึ้น และกำเริบมากขึ้นเรื่อยๆ
นั่นคือ... อาการหิวและอยากกินโน่นนี่นั่นตลอดเวลา และกินในปริมาณที่มากขึ้นกว่าปกติ
ขอบอกว่า มันเจริญอาหารมากเกินไป... ขณะกินนี่อยู่ก็คิดว่าอยากจะกินโน่นต่อไปอีก...
สิ่งที่ตามมาคืออะไรคงทราบดี
อาการจุกแน่นหลังมื้ออาหารจากการที่ระบบเผาผลาญในร่างกาย และระบบย่อยเสียศูนย์
อาการน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
########
ถามตัวเองว่า นี่ฉันจะต้องแลกดวงตาที่ชัดใส กับการกลับไปเป็น “ยัยหมูอ้วน” อีกหนอย่างนั้นหรือ?
ถามตัวเองอีกว่าคุ้มไหม?
อาการตาพร่าเกิดเนื่องจากเราใช้ตามากเกินไป มองจ้องจอวันละเป็นสิบๆ ชั่วโมง ตามันก็ต้องประท้วงตามธรรมชาติ จริงไหม? เวลานี้ตาฉันนั้น อายุมากกว่าอายุจริงเกือบยี่สิบปี เพราะใช้มันมากเกินพิกัดอัตรา
ความจริงฉันก็มีอาการของโรคอาชีพธรรมดาๆ ค่ะ...
การแก้ไขด้วยการกินวิตามินบำรุงตา ยังไม่ทันเห็นผลว่าตาจะดีขึ้นเพียงใด แต่ผลข้างเคียงปรากฏชัดค่ะ
########
พยายามแก้ไขด้วยการเพิ่มกิจกรรมการออกกำลังกายเข้ามาค่ะ โดยไปว่ายน้ำ และไปเดินที่สวนสาธารณะ
แต่มันก็ยังไม่ได้ช่วยมากนัก กลับดูเหมือนจะเตลิดเปิดเปิงไปมากขึ้นอีก...
นั่นคือ... อาการอ้วน ดำ และปวดเมื่อยเคล็ดขัดยอกไปทั้งตัว อาการปวดหลังและเข่าอักเสบกลับมาใหม่....และยังคงเจริญอาหารเกินพิกัด....
##########
ถึงขนาดนี้...ฉันว่าไม่คุ้มๆ
เพื่อให้ตาไม่พร่ามัวอย่างเดียว แต่ได้ผลข้างเคียงมาเป็นชุดแบบนี้
ฉันจะต้องหยุดวงจรอุบาทว์นี้ค่ะ ฉันจึงหยุดรับประทานยาบำรุงตา และหันมาเลือกหนทางที่สอดรับกับธรรมชาติ ย้ำค่ะ... ยึดแนวธรรมชาติ... ตาเราเมื่อใช้มากๆ ก็ต้องหยุดให้มันได้พักผ่อน ใช้วิธีการกินอาหารที่มีสารอาหารเป็นประโยชน์กับตามากที่สุด ใช้วิธีการหลับตานิ่งๆ และประคบด้วยผ้า หรือเจลอุ่นและเย็น สลับกันไป เป็นต้น
########
สำหรับน้ำหนักของฉันที่เพิ่มขึ้นมาจากการรับประทานยาบำรุงตา ซึ่งไม่ได้ขึ้นมาเองตามธรรมชาติ
ฉันจึงจำเป็นต้องไปหาหมอให้ช่วยหยุดวงจรอุบาทว์นี้เลยทีเดียวค่ะ!
สาบานว่า... จะไม่กินยาบำรุงอะไรอีกแล้ว เข็ดๆๆ

Tuesday, February 28, 2012

ให้เด็กสัมผัสการดนตรีเป็นการขยายการรับรู้ของสมอง


สวัสดีค่ะ วันนี้มีโอกาสเข้ามาเขียนบล็อก ทักทายกับเพื่อนๆ อีกครั้งค่ะ หวังว่าทุกท่านจะสบายดีนะคะ
มีใครรู้สึกหรือมองเห็นว่ามีกระแสไฟฟ้าวิ่ง แปล็บๆ ปล๊าบๆ อยู่ในหัวของเรา หรือของคนอื่นๆ บ้างไหมคะ?
เราเคยเห็นภาพวาดขององค์ศาสดาทางศาสนาหลายศาสนา ที่มีวงแสงสว่างเรืองอยู่รอบๆ พระเศียร...
แสงแบบนั้นอาจจะส่องเรืองออกมาจริงๆ ก็ได้นะ
ทำไมหรือ?
#####
ก็บรรดานักประสาทวิทยา นักวิทยาศาสตร์ที่ค้นคว้าเกี่ยวกับการทำงานของสมองคนเรา บอกว่า ในสมองของคนเรานั้น มีเส้นใยประสาทรับส่งข้อมูลติดต่อประสานกันไปมา โดยผ่านสารเคมีและประจุไฟฟ้าอยู่ตลอดเวลาเลย
ดังนั้น หากใครใช้ความคิดมากๆ สมองก็ยิ่งทำงานหนัก น่าจะมีกระแสประจุไฟฟ้าและสารเคมีวิ่งไปมาอยู่มากมาย จนทำให้มีแสงเรืองออกมาก็เป็นได้...
หรือท่านว่ายังไงคะ?
#######
มีกรณีที่นิยมทำกันมาก เช่น การให้ลูกที่อยู่ในท้องได้ฟังเสียงเพลง และเสียงเล่านิทานของพ่อแม่...
ฉันว่านั่นเป็นสิ่งที่ควรทำอย่างยิ่งเลยค่ะโดยเฉพาะเมื่อลูกในครรภ์มีอายุย่างเข้าเดือนที่ 4-5 เป็นต้นไปค่ะเพราะว่า ในช่วงระยะนี้เอง อวัยวะที่เกี่ยวกับการได้ยินได้พัฒนาขึ้นโดยสมบูรณ์แล้ว
ดังนั้น ทารกจึงพร้อมที่จะรับฟังเสียงต่างๆ ที่เข้าสู่ระบบในลักษณะคลื่นที่มีรูปแบบต่างๆ และสมองก็จะสร้างเซลล์ประสาทขึ้นเพื่อตอบสนองต่อลักษณะของเสียงที่ผ่านเข้ามาและเก็บไว้เป็นข้อมูล
หรือเรียกว่าการสร้าง “แผนที่การได้ยิน” เอาไว้... วาวววว...
#######
ดังนั้น เมื่อเด็กเล็กๆ ได้ยินสำเนียงเสียงต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ยิ่งมากเท่าใด สมองก็จะสร้างเซลล์ประสาทขึ้นรองรับเสียงต่างๆ มากเท่านั้น และการได้ยินยังส่งผลให้เด็กขยับกล้ามเนื้อที่เกี่ยวกับการออกเสียงนั้นๆ ไปโดยอัตโนมัติด้วย
อันนี้ก็มีการพิสูจน์แล้วค่ะ เมื่อเด็กคลอดออกมา เซลล์ประสาทส่วนนี้ของสมองก็มีไขสมองห่อหุ้มเรียบร้อยแล้วค่ะ และก็มีส่วนทำให้เด็กสามารถร้องออกเสียงอุแว๊ๆๆ ได้ไงคะ
ข้อมูลที่สมองเก็บไว้ในลักษณะของเซลล์ประสาทที่เชื่อมต่อกันนี้ เมื่อมีเสียงประเภทเดียวกัน หรือข้อมูลในกลุ่มเดียวกันเข้ามาเพิ่มอย่างต่อเนื่อง ก็จะนำไปสู่การเรียนรู้ทางด้านภาษา และด้านอื่นๆ ของเด็กคนนั้นในเวลาต่อมาค่ะ
#######
มีข้อมูลที่น่าสนใจว่า ภาษาที่คนทั่วโลกพูดกันมีอยู่นับเป็นพันๆ นั้น ประกอบขึ้นจากเสียงที่เปล่งออกมาทั้งหมดเพียงประมาณ 50 เสียงเท่านั้นค่ะ!
ดังนั้น ความกลัวที่ว่า หากเด็กเติบโตในแหล่งที่มีคนพูดหลายๆ ภาษาจะทำให้เด็กสับสนนั้น จึงไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น ในทางตรงกันข้าม น่าจะเป็นฐานที่ดีสำหรับการพัฒนาภาษาในอนาคตของเด็กคนนั้น เพราะสมองมีเซลล์ประสาทรองรับเสียงต่างๆ จำนวนมาก
อย่างไรก็ตาม การสร้างเซลล์ประสาทรับเสียงนี้ดูเหมือนจะเสร็จสมบูรณ์ในช่วงวัยอ่อนมากๆ เท่านั้นค่ะ
#########
อาจสรุปได้ไหมคะว่า...การให้เด็กตั้งแต่อยู่ในครรภ์ (ประมาณ 4-5 เดือนเป็นต้นมา)ได้ยินได้ฟังเสียงที่หลากหลายที่เกิดขึ้นในโลกยิ่งมากยิ่งดี?
ฉันเห็นด้วยอย่างมากค่ะ ท่านล่ะเห็นด้วยไหมคะ?
และฉันเห็นว่าหนทางที่ดีที่สุดที่จะช่วยขยายการรับรู้ทางสมองของเด็ก ก็คือการให้ฟังเสียงดนตรี....
ดนตรีประเภทใดก็ได้ค่ะ ฉันว่าได้ทุกชนิดเลย
และเมื่อเด็กเริ่มเรียนภาษา ก็เริ่มให้เล่นเครื่องดนตรีต่างๆ ที่เค้าชอบไปด้วย
#######
มีผลการศึกษาค้นคว้าจำนวนมากแล้วค่ะ โดยเฉพาะในสหรัฐ ที่ยืนยันว่า การให้เด็กได้ฝึกการดนตรีแต่เล็ก มีผลต่อพัฒนาการของสมองส่วนของการฟัง (Brain’s auditory cortex) อย่างมาก โดยเฉพาะการให้เด็กได้มีโอกาสฝึกเล่นเครื่องดนตรีที่ผสมกันเป็นวง เช่น ออร์เคสตรา หรือกระทั่งวงแบบร็อคก็ได้ พบว่า ผลของมันทำให้สมองส่วนนี้มีขนาดใหญ่ขึ้น ทำให้มีสมาธิและมีความจำดีขึ้น ซึ่งจะเป็นการสร้างฐานสำหรับการเรียนรู้ด้านต่างๆ อย่างกว้างขวางสำหรับเด็ก
อย่างไรก็ตาม ผลการวิจัยบอกว่า หากเป็นการฟังเฉยๆ เช่นฟังดนตรีโมซาร์ท จะไม่ก่อให้เกิดผลเหมือนการฝึกเล่นเครื่องดนตรีโดยตรง
แต่ก็มีผลการศึกษาบางชิ้นบ่งชี้ว่า การฟังดนตรี (โดยไม่ได้ฝึกเล่นเครื่องดนตรี) อาจช่วยในเรื่องของสมาธิการทำข้อสอบที่อาศัยการท่องจำได้ดี อย่างน้อยก็ชั่วระยะสั้นๆ
#######
กล่าวได้เลยว่า ให้เด็กฝึกเล่นเครื่องดนตรี เป็นการสร้างฐานเพื่อการเรียนรู้ของสมองให้แก่เด็กที่ดีมากทางหนึ่งเลยทีเดียวนะคะ
######
โอ๊ะ! เที่ยวนี้เขียนยาวกว่าทุกครั้ง ต้องลาไปก่อนนะคะ
รักคนอ่านเสมอค่ะ

Monday, January 30, 2012

สอนลูกไม่ให้เป็นเด็ก Spoiled!


คุณพ่อคุณแม่เคยนึกกลัวว่าลูกเราจะกลายเป็นเด็ก Spoiled หรือเป็นคุณหนูสำคัญตัวว่าแน่กว่าเพื่อนบ้างไหมคะ?


Avoid being spoiled!
แต่ก็ไม่ต้องการให้ลูกให้กลายเป็น “เบ๊หัวสี่เหลี่ยม” (เป็นผู้รับคำสั่งอย่างเดียว) หรือพวกขาดความมั่นใจในตนเอง ใช่ไหมคะ?

ฉันพบว่า นี่ไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ง่ายๆ เลยละค่ะ

สิ่งต่างๆ มันไม่ยินยอมที่จะเกิดขึ้นตามความปรารถนาของเราอย่างง่ายๆ และโดยทั่วไปมักจะเกิดขึ้นในเงื่อนไขที่ละเอียดอ่อนอย่างมาก... มากเสียจนบางทีไม่มีใครที่จะสามารถจำลองสถานการณ์ เพื่อนำมาสร้างเป็นสูตรสำเร็จได้

แต่...มันก็น่าจะมีหนทางที่พอจะทำได้บ้าง... เช่น การทำให้มันเกิดขึ้นเองอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด

เลี้ยงลูกไม่ให้เป็นเด็ก Spoiled โดยธรรมชาติ ทำอย่างไรเล่า?

เราจะเลี้ยงดูลูกของเราอย่างไร จึงจะทำให้เขาเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่สมบูรณ์แบบอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด

#########

ฉันชอบความสวยงามที่เป็นระเบียบเรียบร้อยอย่างเป็นธรรมชาติ... ฉันคิดว่า หากปล่อยเป็นธรรมชาติเฉยๆ ไม่ช่วยจัดระเบียบ มันก็จะไม่สวยงามนัก มันอาจจะดู เละ-และ-รก-รุงรังค่ะ

 แต่การจัดระเบียบหรือดัดแปลงมากเกินไป สิ่งนั้นก็จะขาดความเป็นธรรมชาติของตัวเองไป มันก็ไม่สวยและไม่ยั่งยืนด้วยค่ะ

ดังนั้น ก่อนอื่น เราต้องชัดเจนว่าเราอยากเห็นลูกของเราเป็นคนอย่างไร (“ลูกในฝัน” ว่างั้นเถอะค่ะ)

ไม่เป็นคุณหนูที่ทำอะไรไม่เป็น ต้องมีคนคอยทำให้ เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ เอาแต่ใจตนเอง อยากได้อะไรก็ต้องได้ ไม่ได้ก็พยศ หรือดูถูกคนอื่น เห็นตัวเองเก่งคนเดียว และอื่นๆ

ลูกในฝันควรจะเป็นคนที่รู้จักประมาณตัวเอง และพยายามรู้จักและศึกษาสิ่งที่ดีจากคนอื่นๆ รู้จักการจัดลำดับความสำคัญของสิ่งต่างๆ รู้จักควบคุมตนเอง รู้จักกาลเทศะ และให้ความนับถือในความเห็นและความเป็นอิสระ-ตัวตนของผู้อื่น แม้กระทั่งผู้ที่มีความเห็นแตกต่างกับตน (ใจกว้าง) ให้โอกาสคนอื่นๆ รู้จักการรอคอยโอกาสของตน เป็นต้น

##############
เมื่อเรามีความชัดเจนเกี่ยวกับคุณสมบัติของลูกในฝันของเราแล้ว ก็มาถึงตอนที่จะทำให้มันเกิดขึ้นในตัวของลูกอย่างเป็นธรรมชาติ นี่แหละค่ะ... จะว่ามันยากก็ยาก จะว่าง่ายก็ได้นะคะ

สิ่งที่ฉันพบและปฏิบัติ เช่น การสนองเงื่อนไขให้ลูกเติบโตในสภาพแวดล้อมที่ดีที่เป็นแม่แบบให้ลูกได้สัมผัสอยู่เป็นกิจวัตร ในนี้พบว่าสภาพในบ้านสำคัญที่สุด คนที่ใกล้ชิดลูกที่สุดมีความสำคัญที่สุด เช่นคุณแม่ต้องไม่เป็นต้นแบบคุณหนูซะเอง หรือคุณพ่อไม่เป็นต้นแบบที่แสดงตัวว่า “ข้าแน่” หรือในทางตรงกันข้าม “ยอมเค้า” อยู่เรื่อย... ไรพวกนี้นะคะ

 เพราะลูกจะซึมซับนิสัยใจคอของคนใกล้ชิด และถือเป็นแม่แบบของตนโดยไม่รู้ตัว

การรู้จักตนเองก็มาจากการที่มีคนคอยพูดคุยบอกเล่า เรื่องราวเกี่ยวกับตัวตนของเค้าให้ได้ฟังเสมอๆ โดยเฉพาะเรื่องที่มีความสำคัญมีความหมาย มีความสนุกสนานน่ายินดี ส่งเสริมการสร้างนิสัยที่ดีต่างๆ เล่าเป็นนิทานเลยก็ยิ่งดีค่ะ

ส่วนเรื่องที่เกี่ยวกับการเห็นความสำคัญของตนเองและผู้อื่นๆ และรู้จักกาลเทศะ รู้จักรอคอยจังหวะและโอกาสที่ดีของตัวเอง เหล่านี้เป็นเรื่องที่ลูกจะรู้จักปรับตัวต่อโลกภายนอก

ฉันพบว่า การให้ลูกมีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมเป็นกลุ่ม –เน้นกิจกรรมเป็นกลุ่มค่ะ- จะช่วยได้มาก อย่างเช่นการเล่นกีฬาเป็นทีม เช่น ฟุตบอล บาสเก็ตบอล หรือเข้าร่วมการเล่นดนตรีเป็นวงใหญ่ๆ เช่น วงโยธวาทิต หรือซิมโฟนิก แบนด์ของโรงเรียน เป็นต้น

###########

ฉันค่อนข้างเชื่อว่า กิจกรรมดังกล่าวข้างต้นจะช่วยเสริมสร้างลักษณะนิสัยที่ดีและจิตใจที่กว้างขึ้นให้แก่เด็ก...

เพราะอย่างการเล่นดนตรีเป็นวงใหญ่ หากสมาชิกในวงไม่เห็นความสำคัญของเพื่อนในวง ก็วงแตก หรือขาดการติดตามเวลาคนอื่นทำหน้าที่ของตน ก็ไม่สามารถรู้ว่าจังหวะของตนอยู่ตรงไหน การเล่นดนตรีก็ล้มเหลว เด็กจึงได้รับการฝึกฝนกล่อมเกลานิสัยและจิตใจจากกิจกรรมแบบนี้อย่างมาก

ที่กล่าวมาเป็นเพียงตัวอย่างเล็กน้อย น่าจะยังมีทางอื่นๆ อีกที่จะทำให้ลูกๆ ของเราห่างจากการเป็นคุณหนู และการสำคัญว่าตัวเองเก่งกว่าเพื่อน...

จึงขอแลกเปลี่ยนทัศนะกันมา ณ ที่นี้ด้วยรักและนับถือค่ะ...