Saturday, December 22, 2012

ช่วยลูกๆ ค้นหาตัวเองให้เจอยิ่งเร็วยิ่งดี


(ชี้แจง เพื่อนๆ ชาวบล็อกและท่านที่สนใจข้อเขียนในบล็อกนี้ทุกๆ ท่าน ข้อความข้างล่างนี้ เดิมฉันตั้งใจเขียนโพสต์ในบล็อกมอมี่พีเดีย เพื่อเชิญชวนคุณพ่อคุณแม่ช่วยลูกค้นหาตัวเอง แต่ปรากฏว่ามีอุปสรรคในการโพสต์ข้อความลงในบล็อกดังกล่าว และเห็นว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกันกับที่เขียนไว้ก่อนหน้านี้ จึงขอนำมาลงไว้ที่นี่เสียเลยนะคะ Enjoy!)  

สวัสดีค่ะเพื่อนๆ และคุณพ่อคุณแม่ชาวบล็อก

วันนี้อยากเข้ามาแลกเปลี่ยนกับเพื่อนๆ เรื่องหนึ่งที่ติดอยู่ในใจมานานพอสมควรค่ะ และคิดว่าการแลกเปลี่ยนนี้น่าจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อย

#####

บรรดาพ่อแม่ที่เคยเลี้ยงลูกๆ หรือครูอาจารย์ที่สอนเด็กๆ คงเห็นด้วยกันนะคะว่า จะมีคำถามหนึ่งที่ตั้งขึ้นสำหรับเด็กๆ นั่นคือ  “โตขึ้นอยากเป็นอะไรๆๆ...”

เด็กๆ ที่ยังเล็กๆ ชั้นอนุบาล – ประถมศึกษา ก็มักจะมีคำตอบคล้ายๆ กัน เช่น  “หนูอยากเป็นครู” “อยากเป็นหมอ” “อยากเป็นพยาบาล” “นักบิน” ฯลฯ อ้อ / เดี๋ยวนี้มีอีกอย่าง “อยากเป็นนักการเมือง” อะไรทำนองนี้นะคะ

บางท่านอาจจะรู้สึกได้ว่า ยังมีอีกๆๆ เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่เด็กๆ คิดอยากเป็นมากขึ้นกว่าแต่ก่อนเยอะ เช่น อยากเป็นนายธนาคาร นักการเงิน นักการตลาด ประชาสัมพันธ์ ผู้กำกับหนัง ดารานักร้องนักแสดง (อันหลังนี่มีมากโดยเฉพาะบ้านเรา) ฯลฯ

จริงด้วยค่ะ /

ฉันว่าน่าสนใจตรงที่เดี๋ยวนี้เด็กๆ สามารถคิดอยากเป็นอะไรๆ ได้มากกว่าแต่ก่อน มากกว่าเมื่อสักสองสามทศวรรษที่ผ่านมานะคะ

#####

สมัยก่อนโน้น เราคิดอะไรไม่ค่อยออก หาตัวเองกันไม่ค่อยจะเจอ จนกระทั่งมีชื่อเรียกขานว่า ยุค “การแสวงหาจิตวิญญาณ” หรือ Soul Searching ซึ่งแสดงออกในรูปแบบวัยรุ่นคนรุ่นใหม่เป็นฮิปปี้ ไว้ผมยาว ต่อต้านคนรุ่นเก่า ไม่ยอมรับ Anti-establishment การปฏิวัติ ยุคนี้อยู่ในช่วงทศวรรษปี ค.ศ. 1960 -70 นั่นเอง

ปัจจุบันนี้คนรุ่นนี้มีลูกมีหลาน ขณะที่โลกก็ได้ย่างก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ที่เรียกขานว่า “ยุคข่าวสารและเทคโนโลยีความเร็วสูง”  หรือ “ยุคสังคมฐานความรู้” (Knowledge – based Society)

ทุกท่านคงทราบดีแล้วว่าเรากำลังอยู่ในยุคใหม่ ที่อะไรๆ ก็จะไม่เหมือนเดิม สังเกตจากระบบการศึกษา ซึ่งเป็นกลไกหลักในการป้อนกำลังคนเข้าสู่สังคม เราพบว่าสถาบันการศึกษาต่างๆ มีระบบการเรียนการสอน ประกอบด้วยวิชาที่ให้เลือกเรียนโดยมีการแยกย่อยมากขึ้นกว่าสมัยก่อนมาก แสดงว่าระบบสังคมมีความต้องการกำลังคนที่มีความรู้ความสามารถเฉพาะในสาขาต่างๆ มากขึ้น ซึ่งบางคนอาจได้ยินชื่อ “ยุคสังคมฐานความรู้” นั่นแหละค่ะยุคที่ว่านี้

นั่นคือที่มาของการที่หลักสูตรการเรียนการสอนที่จะสามารถสร้างคนที่มีความรู้ความสามารถเฉพาะ จบออกมา แล้วก็เข้าสู่โลกการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

และบนพื้นฐานของสังคมข่าวสารที่มีเทคโนโลยีรองรับความรวดเร็วในการแสวงหาข้อมูลความรู้ต่างๆ ได้อย่างดีนี่เอง ที่จะมาสนองความอยากรู้ของผู้คนในสังคม เช่น ถ้าฉันชอบแบบนี้ๆๆ ฉันจะไปแสวงหาความรู้ความชำนาญได้อย่างไร และเมื่อมีความรู้อย่างนี้ๆๆ ฉันจะเข้าไปทำงานที่ไหนเพื่อสานฝันให้เป็นจริง...

นี่ไงคะ ความเป็นไปได้ที่เด็กๆ จะสามารถล่าฝันของตัวเองได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

และนี่ก็คือความเป็นไปได้ที่ทุกคนจะสามารถค้นพบตัวเองได้เสมอ

#####

เอาละค่ะ พ่อแม่พี่น้องที่รัก ที่นี่เองแหละคือหน้าที่ของพ่อแม่ผู้ปกครอง และโรงเรียน ที่จะช่วย Lead ความคิดของเด็กๆ ช่วยให้เด็กค้นพบความสามารถเฉพาะตัวของเค้า ช่วยให้เขาค้นพบตัวเองได้เร็วขึ้น

เมื่อเด็กค้นพบตัวเองได้เร็ว เค้าก็จะเติบโตเร็ว ไม่ต้องอยู่ในระบบการศึกษากันนานเป็นสิบยี่สิบปี

เมื่อค้นพบตัวเองแล้ว เท่ากับว่าเค้ามีความสุกงอม Matured  แล้วก็จะอยากออกมาทำอะไรต่ออะไรที่เค้าอยากทำ และเมื่อเค้าทำได้ เค้าก็จะมีความสุขกับสิ่งที่ทำนั้นด้วยค่ะ หรือหากเค้าเกิดไม่ชอบสิ่งที่ทำ เค้าก็จะสามารถปรับเปลี่ยนของเค้าได้เอง โดยอยู่ใน Scope ความสามารถที่เค้าฝึกฝนตนเองมาตั้งแต่เด็กนั่นเองค่ะ

พ่อแม่พี่น้องที่รัก การศึกษาและพัฒนาการของลูกๆ ก็คือการเรียนรู้ของคนๆ หนึ่งที่จะพบตัวเองว่า เราเกิดมาเพื่อทำอะไร เดี๋ยวนี้มีฐานรองรับที่จะค้นพบตัวเองได้ไม่ยากแล้วค่ะ ช่วยลูก ช่วยให้เค้าพบตัวเองได้เร็วๆ กันเถอะค่ะ
ฉันเชื่อในสิ่งนี้ว่าเราทำได้ / ขอให้ทุกท่านโชคดี / สวัสดีค่ะ

No comments:

Post a Comment