Sunday, October 26, 2014

อันเนื่องมาจาก “กรณี 6 ตุลา”... รำลึกชีวิตที่รอนแรมในขบวนการต่อสู้ (13)

สำนัก สปท. ที่ยังตราตรึงในความทรงจำ

ขอบคุณภาพทิวทัศน์คุนหมิงจากเน็ต
กลับมาสวัสดีทุกท่านอีกครั้งหลังจากหยุดพักเบรกไปสองสามวันนะคะ บันทึกรำลึกอย่างย่อชุดนี้ก็ดำเนินมาจนถึงช่วงปลายใกล้จบแล้วค่ะ ใคร่ครวญดูแล้วก็น่าจะเหลืออีกประมาณ 3 ตอนรวมทั้งตอนนี้ด้วย ก็จะถึงวาระอวสานตามกรอบเวลาที่ตั้งไว้เพื่อรำลึกเหตุการณ์เรื่องราวที่ฉันผ่านพบในช่วงนี้โดยเฉพาะแล้วนะคะ หากทุกท่านสังเกตก็จะพบว่า ฉันได้เลือกเล่าบางเหตุการณ์เพื่อให้มองเห็นภาพใหญ่ที่เชื่อมร้อยในระยะเวลารวมทั้งหมดประมาณ 5 ปีที่ฉันรอนแรมอยู่ทั้งในป่าเขาและในต่างประเทศ ซึ่งในแต่ละตอนก็ได้อมเหตุการณ์ย่อยต่างๆ ไว้มากมายที่ฉันไม่ได้นำมาเขียนเล่า เพราะมิฉะนั้น เรื่องรำลึกชีวิตนี้มันก็จะไม่สามารถจบลงใน 15 ตอนแบบนี้ละค่ะ เอาไว้หากว่าใครอยากจะคิดทำซี่รี่แบบเกาหลีนะ ก็จะกลับมาลงแรงเขียนต่อเติมเพิ่มเข้ามาเอาให้ดุเด็ดเผ็ดมันชนิด dig deep ลงในรายละเอียดเชิงมหากาพย์กันอีกทีละกันนะคะ
ในตอนนี้ จะเล่าบรรยากาศในสำนัก สปท. ระหว่างที่ฉันเข้าไปร่วมทำงานและนำเสนอภาพเหตุการณ์ที่ยังเหมือนสดใหม่อยู่ในความทรงจำของแท้ๆ แบบอินสแต้นท์จากมุมมองของฉัน เพราะสหายท่านอื่นๆ ก็อาจจะมีมุมมองที่ต่างไปจากฉัน เป็นอันเข้าใจร่วมกันตามนี้นะคะ
สำนัก สปท. หรือสถานีวิทยุเสียงประชาชนแห่งประเทศไทย ในมุมมองของฉันในช่วงที่ฉันได้มีโอกาสเข้ามาร่วมทำงาน เป็นสำนักของคนทำงานสื่อค่ะ ฉันประจำอยู่ในกองบรรณาธิการติดตามข่าวเขียนรายงานข่าวต่างประเทศ ซึ่งในกองก็มีสหายร่วมทำงานอยู่ทั้งหมดประมาณ 4-5 คน ดูเหมือนฉันจะอาวุโสน้อยสุดในเวลานั้น ส่วนกองข่าวในประเทศดูเหมือนจะเป็นกองใหญ่ มีสหายอาวุโสทำงานอยู่มากหน้าหลายตา รวมทั้งสหายพจน์ก็อยู่ในกองนี้ด้วยค่ะ เวลาในการทำงานในสำนักแบ่งออกเป็น 3 ช่วง คือเช้าถึงเที่ยงวัน หลังรับประทานอาหาร (มีโรงครัวแยกต่างหาก ห้องอาหารรวมเป็นแบบโต๊ะจีนมีสหายร่วมโต๊ะกันประจำประมาณ 6-10 คน) มีช่วงพักนอนงีบตอนบ่าย (Siesta แบบคนฝรั่งเศส ซึ่งทิ้งเป็นมรดกไว้ในประเทศอินโดจีน) ประมาณ 1-2 ชั่วโมง
เริ่มทำงานช่วงที่สองประมาณบ่ายสองโมงเศษๆ ไปจนถึงประมาณ 4-5 โมงเย็น เลิกงาน สหายก็จะมีเวลาออกกำลังกาย บ้างก็เล่นวอลเล่ย์บอล (สหายพจน์เล่นจนนิ้วซ้นไป 1 นิ้ว) บ้างก็ตีปิงปอง (ฉันจองโต๊ะปิงปองประจำเลยค่ะ) สหายอาวุโสบางคนจะเดินตามถนนในสำนักซึ่งกว้างยาวไม่น้อยค่ะ จากนั้นก็อาบน้ำในโรงอาบน้ำที่มีเตาต้มน้ำใหญ่ควันโขมงอยู่ตลอดเวลา รับประทานอาหารเย็นประมาณ 6 โมงเย็นถึงหนึ่งทุ่ม จะมีการทำงานอีกช่วงหนึ่งระหว่าง 2 ทุ่มเศษ ถึงประมาณ 4-5 ทุ่ม แต่บางทีสหายบางคนงานเร่งบ้างไม่เสร็จบ้างอะไรบ้าง บรรยากาศการทำงานแบบโต้รุ่งต้มบะหมี่ชงกาแฟหยาดหยดแบบเวียดนามข้างเตาผิงกลางห้องทำงานจึงเป็นบรรยากาศปกติธรรมดาของกองบรรณาธิการนี้เลยละค่ะ
ดังนั้น ทุกท่านเมื่อหลับตานึกภาพตามฉันมาเรื่อยๆ ก็คงเข้าใจแล้วละค่ะว่า ที่ทำงานของฉันนั้นแวดล้อมด้วยนักเขียนนักวิเคราะห์ข่าวสาร ผู้ใช้และมากด้วยจินตนาการอย่างสูง เพื่อผลิตต้นฉบับที่เมื่อได้รับการนำไปอ่านออกอากาศทางวิทยุ ผู้รับสารที่เป็นสหายทั้งแนวหลังแนวหน้ารวมทั้งประชาชนทั่วไปที่สนใจ ก็จะได้รับข่าวสารฟังการวิเคราะห์สรุปเสนอแนวคิดต่างๆ ที่เต็มไปด้วยหลักการและความมีชีวิตชีวาที่ช่วยให้เข้าใจได้ง่ายนั่นเองค่ะ
แน่นอนที่สุดค่ะ กองข่าวต่างประเทศที่ฉันร่วมงานอยู่ในครั้งนั้น มีบรรยากาศต่อต้านจักรพรรดินิยมอเมริกาอย่างเข้มข้นมากๆ เพราะในครั้งนั้นอเมริกาสนับสนุนเผด็จการ ดังนั้น มันจึงสอดคล้องมากกับอารมณ์เกลียดจักรพรรดินิยม เกลียดเผด็จการอย่างมากของฉัน (ช่วงนั้นการต่อต้านอเมริกาเป็นกระแสใหญ่สะพัดไปทั่วโลก) และในระหว่างนั้นเองสถานการณ์ของอเมริกาก็กำลังแย่เนื่องจากเพิ่งพ่ายแพ้ในสงครามเวียดนามต้องล่าถอยต้องถอนทหารนับแสนคนออกจากสมรภูมิที่เวียดนาม เราจึงพบว่าการเคลื่อนไหวของอเมริกามักจะเข้าแนวทางการวิเคราะห์ของฝ่ายประชาชนที่ว่า จักรพรรดินิยมนั้นใกล้ตายชอบที่จะยกก้อนหินทุ่มขาตัวเองอยู่ประจำ คือมักจะเลือกทำอะไรๆ ที่จะทำให้ตัวเองแย่ลงเรื่อยๆ เสมอ
และตามประสาการมองไกลไปข้างหน้าเสมอของเหล่านักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยทั้งปวง ก็ทำให้คนในขบวนการนี้มักจะมีจินตนาการเห็นทะลุทะลวงไปว่า แม้หนทางจะคดเคี้ยว แต่การต่อสู้ของประชาชนนั้นถูกต้องมีความเป็นธรรม จึงมีอนาคต และจะได้รับชัยชนะในที่สุดอย่างแน่นอนค่ะ ขวัญกำลังใจสูงมากๆ ในเวลานั้น
อย่างไรก็ตามสหาย ในสำนักก็ใช่ว่าจะนั่งอึดทึดอยู่แต่ในเก้าอี้เท้าแขนกันทั้งวันทั้งคืน ดังที่กล่าวแล้วว่า มีช่วงเวลาการพักการทำงานการเล่นกีฬา นอกจากนั้นยังมีช่วงของการบันเทิง มีวันหยุดที่ได้ออกไปซื้อของในเมืองคุนหมิง มีการจัดทัศนศึกษาเดินทางไปเยือนสถานที่สำคัญต่างๆ เป็นระยะๆ เช่นไปปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ ฟุเจี้ยน หูหนาน เป็นต้น และที่สำคัญ สหายทุกคนมีโอกาสร่วมใช้แรงงานในแปลงผักหลังสำนัก ที่มีทั้งผักกาด คะน้า กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก ถั่วลันเตา มีการสับเปลี่ยนกันไปรดน้ำรดปุ๋ย เก็บเกี่ยว ฯลฯ เป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ

เอาละค่ะ ทั้งหมดที่เห็นและเป็นอยู่นั้น ก็เป็นที่ทราบกันว่า หลักๆ มาจากการช่วยเหลือของพรรคคอมมิวนิสต์จีน รวมทั้งพรรคพี่น้องในอินโดจีนที่เป็นเสมือนหลังพิงที่สำคัญให้แก่พรรคไทยนั่นเอง คิดง่ายๆ ถ้ามีสำนักทำนองนี้ตั้งอยู่บนผืนแผ่นดินไทย ก็คงถูกทิ้งระเบิดราบเป็นหน้ากลองไปนานแล้วนั่นเอง///

No comments:

Post a Comment