Wednesday, October 15, 2014

อันเนื่องมาจาก “กรณี 6 ตุลา”... รำลึกชีวิตที่รอนแรมในขบวนการต่อสู้ (7)

ช่างสวยงามราวกับเดินอยู่บนสรวงสวรรค์

ขอบคุณภาพจากเน็ตค่ะ
ภาพที่ฉันพอจะจำได้ตอนที่นั่งรถเพื่อเข้าสู่เขตฐานที่มั่นของคอมมิวนิสต์ไทยที่อยู่บริเวณรอยต่อ 3 จังหวัด คือ พิษณุโลก เลย และเพชรบูรณ์ ซึ่งว่ากันว่าเป็นฐานที่มั่นใหญ่นั้น มีผู้ร่วมเดินทางไปพร้อมกับเราทั้งสามคนอีกหลายคนค่ะ
จำได้ว่ามีคนที่พาเด็กวัยสักประมาณ 6-8 ขวบไปด้วย... โอ้, ถ้าลูกเราโตขนาดนี้ เราจะพาเค้ามาด้วยแบบนี้ไหมหนอ....?? และแล้วฉันก็ต้องหยุดคิดและ...ในที่สุดก็เลิกคิดไปเลย...!
เมื่อรถหยุดจอดและผู้ที่มาส่งเราบอกว่าถึงที่แล้วให้ลงจากรถ... จำได้ว่าคณะของเราลงจากรถแล้วพากันวิ่งแบบก้มตัวมุดๆ ตามคนที่นำเข้าข้างทางผ่านป่าละเมาะที่มีต้นสาบเสือขึ้นอยู่เต็ม จำแม่นเพราะกลิ่นดอกสาบเสือฟุ้งกระจายทั่วบริเวณ สักพักหนึ่งเราก็ได้มาพบเจอกับ “สหายนักรบ” หรือที่เรียกตัวย่อว่า “ทปท.” (ทหารแห่งกองทัพปลดแอกประชาชนแห่งประเทศไทย – ชื่อเต็มๆ ค่ะ) แต่งชุดทหารเต็มยศ สะพายปืนอาก้า รองเท้ายางและหรือผ้าใบหุ้มข้อ สวมหมวกดาวแดง... เท่ห์สุดๆ ค่ะ
แนะนำตัวกันแล้วก็ทราบว่า พวกเขาจะมานำพาคณะของเราเดินทางขึ้นไปสู่ฐานที่มั่นที่อยู่บนภูเขาอีกต่อหนึ่ง... หลังจากนั้นก็พากันเดินไปตามทางที่ยังต้องเดินย่องๆ ไปแบบลับๆ ล่อๆ เราต้องเดินสลับกับการนั่งหมอบหลบวูบๆ วาบๆ เป็นระยะๆ โดยปฏิบัติตามการส่งสัญญาณของ เหล่า ทปท. ที่นำทางเราบอกทุกอย่าง
รายละเอียดต่างๆ ฉันจดจำอะไรได้ไม่มากนัก แต่มีที่ไม่ลืมจนถึงวันนี้ก็คือ (1) ความสุภาพอ่อนน้อม มีระเบียบ และเรียบร้อยของทหาร ใช้วาจาสุภาพทั้งระหว่างกันเองและกับสหายทั่วไป เหมือนได้รับการฝึกมาอย่างดีเลยค่ะ (2) สำเนียงพูดของเหล่า ทปท. รวมทั้งคำศัพท์ที่ใช้ก็แปลกออกไปจากที่เราคุ้นเคยหรือพูดกันทั่วไป ซึ่งทราบในเวลาต่อมาว่า สหายเป็นชาวชนชาติม้งนั่นเอง และ (3) กลิ่นค่ะ กลิ่นโดดเด่นที่ลอยมาเตะจมูกของฉันนับตั้งแต่พบกลุ่มทหาร ทปท. และตลอดการเดินทางคือ “กลิ่นควันไฟ” ค่ะ ซึ่งก็มาทราบหลังจากนั้นว่า สหายเหล่านี้จะซักและตากเสื้อผ้าไว้ใกล้กองไฟเพื่อช่วยอบให้เสื้อผ้าแห้ง เพราะบางทีฝนตกอากาศชื้น ดังนั้น เสื้อผ้าของสหายจึงมีกลิ่นพิเศษเหมือนแซลมอนรมควันเลยนั่นเอง... น่ารักจริงค่ะ
ที่นอนของเราในคืนวันแรกก็คือ บ้านน้อยบนภูเขาในเขตฐานที่มั่นปฏิวัติของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ณ บริเวณเขตรอยต่อสามจังหวัด คือ พิษณุโลก เลย และเพชรบูรณ์นั่นเอง ฉันตื่นขึ้นมาตอนเช้ามืดด้วยเสียงที่ไม่คุ้นหู มันเป็นเสียงโหยหวนของหมูที่ดังแหวกอากาศในความมืดอยู่เป็นเวลานานทีเดียวค่ะ...
จากการพูดคุยและบอกเล่าของสหายว่า มักจะมีการจับตัวพวกสปายที่แฝงตัวเข้ามาสืบความลับบนฐานที่มั่น และต้องจัดการสำเร็จโทษกันอยู่บ่อยๆ เมื่อเร็วๆ นี้ก็เพิ่งจับตัวได้อีกก็โดนสำเร็จโทษไป... ฮือออ... ไม่ปลอดภัยไม่ว่าอยู่ที่ใด...
ขอบคุณภาพจากเน็ตค่ะ
ภาพเช้าวันแรกที่น่าจดจำ สหายหญิงแดงที่ยิ้มแย้มแจ่มใสมารับเราเพื่อเดินไปรับประทานอาหารที่โรงอาหารใหญ่ จำได้ว่า เป็นวันที่อากาศตอนเช้าค่อนข้างเย็น มีหมอกบางๆ เรี่ยรายอยู่ตามทางเดินและกระต๊อบที่พัก เห็นทางเดินกว้างประมาณสามสี่เมตร เป็นดินสีน้ำตาลอมแดงที่ราบเรียบสะอาด ทอดอยู่ระหว่างต้นไม้สูงใหญ่น่าจะอายุนับร้อยปีก็เป็นได้ เบื้องบนมีหมอกบางๆ เรี่ยๆตามแมกไม้ แต่ยังเผยให้เห็นพันธุ์ไม้ป่าลึกประเภทเฟิร์น ฝอยลม เกาะอยู่ตามคาคบไม้และตามกิ่งใบ ดูไปช่างสวยงามราวกับเดินอยู่บนสรวงสวรรค์... (ไม่แปลกใจว่าปัจจุบันได้กลายเป็นอุทยานแห่งชาติและเป็นจุดท่องเที่ยวสำคัญ)
แต่ก่อนอื่นต้องไปคารวะรายงานตัวต่อสหายนำของสำนักก่อนค่ะ มีการแนะนำตัวสหายอาวุโสในสำนักหลายท่าน... นี่สหายเล่า... เป็นคำนำหน้าตามด้วยชื่อจัดตั้งที่ทุกคนรู้จักและเรียกกันจนติดปาก รับรู้ทั่วกันจนถึงแนวหน้าแนวหลัง หลายท่านเป็นศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยชื่อดังของไทย เข้ามาตั้งแต่ยังหนุ่มสาว (กว่านี้) ขณะที่เราพบพวกเขาก็อาวุโสมากแล้ว ที่จำได้จนถึงวันนี้ก็คือสหายอาวุโสเหล่านั้นเกือบทุกคนรู้จักสามีของฉัน บอกว่าเขา (สามีฉัน) ก็ผ่านมาพักที่นี่เหมือนกัน...
สหายหญิงอาวุโสคนหนึ่งบอกว่า เธอเป็นศิษย์เก่าเรียนคณะเดียวกันกับสามีของฉันด้วย ฉันยกมือไหว้เธอผู้นั้นอย่างนอบน้อม เพราะเธอก็เป็นรุ่นพี่ของฉันด้วยเหมือนกัน... 
โอ... มาต่อสู้ในป่าเขาจนกลายเป็นสหายอาวุโสขนาดนี้เลยนะคะเนี่ย...!!
บรรยากาศในโรงอาหารคึกคัก สหายทุกคนต่างรับประทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย รวมทั้งฉันด้วย เพราะวันนี้มีเมนูที่ประกอบด้วยเนื้อหมูและผักจากไร่สดๆใหม่ๆ ซึ่งก็เข้าใจได้ว่าเพื่อต้อนรับพวกเราที่เพิ่งขึ้นมาเป็นพิเศษพร้อมกันไป...
โอ... อาหารสดใหม่ ที่พักแบบธรรมชาติและอากาศสดใสบริสุทธิ์...
ที่สำคัญ ไม่ได้ยินเสียงปืนครกเลยค่ะ!///

No comments:

Post a Comment