สำหรับตัวเอง...ฉันสั่งมันว่าให้เข้มแข็ง
![]() |
ขอบคุณภาพจาก Pinterest |
ชีวิตในค่ายอยู่กินนอนแบบทหารป่า
กินเป็นเวลานอนเป็นเวลาตื่นเป็นเวลา ใช้เสียงนกหวีดเป็นสัญญาณ ฉันคิดว่าค่ายบี 5 นี้
ทางสหายจัดให้สำหรับต้อนรับนักศึกษาปัญญาชนจากในเมืองโดยตรง
ดังนั้นในช่วงแรกกิจกรรมด้านการทหารล้วนๆ จึงมีให้เห็นไม่มากนักค่ะ ส่วนใหญ่ของเวลาจึงใช้ไปกับกิจกรรมการหาอยู่หากิน
ทำงานปลูกข้าวไร่ตามเชิงเขา เก็บข้าวเก็บพริกถั่วพูหัวมันสำปะหลัง หยวกกล้วยผักกูดผักหวานที่ขึ้นตามริมลำห้วยลำธารเชิงเขา
เดินขึ้นเขาเข้าที่พัก ลงเขาไปกินข้าวไปอาบน้ำไปเก็บผัก จนหลายคน เช่น คุณเสถียร
หรือสหายวิทยาที่ฉันเห็นเขาลุกขึ้นมากวาดลานที่พักทุกเช้า ได้ผอมสะโอดสะองราวกับเป็นคนละคนกับตอนอยู่ในเมือง
ตอนย่ำค่ำก็มีการประชุมเล่าข่าวทั้งในและต่างประเทศ
ฉันในฐานะที่เคยทำงานด้านข่าวต่างประเทศ ก็เลยได้รับมอบหมายให้มีส่วนในการรวบรวมข่าวต่างประเทศเพื่อเอามาเล่าบอกสหายในค่าย
จากนั้นทุกคนร่วมกันฟังวิทยุเสียงประชาชนแห่งประเทศไทย
ที่เป็นวิทยุคลื่นสั้นของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ออกอากาศจากที่ใดที่หนึ่งในมณฑลยูนนานประเทศจีน
จากนั้นมีเซสชั่นคล้ายเปิดใจสหายที่อาจเรียกว่าการวิจารณ์วิจารณ์ตนเอง
แล้วมีสหายนำในค่ายกล่าวตอบเชิงปลุกระดมชูกำปั้นสร้างขวัญกำลังใจตบท้ายด้วย
“..จงเจริญๆ” แล้วแยกย้ายกันไปนอน
(ในการรวบรวมข่าวสาร
ฉันใช้วิธีการฟังและจดบันทึกข่าวที่รับฟังผ่านวิทยุคลื่นสั้นจากทั่วโลก เช่น
บีบีซี วีโอเอ ออสเตรเลีย วิทยุปักกิ่ง วิทยุมอสโกทั้งภาคภาษาไทย-ภาษาอังกฤษ
และวิทยุของชาติอื่นๆ ที่ออกอากาศเป็นภาษาอังกฤษ รวมทั้งร่วมกับสหายสองสามคนจัดทำกระดานข่าวเพื่อให้สหายได้ติดตามข่าวสารต่างๆ
แต่ไม่นานนักขณะที่กระดานข่าวเริ่มคึกคักเป็นที่สนใจในหมู่สหายในค่ายมากขึ้น...
“จัดตั้ง” ก็มีมติสั่งให้เลิกไปค่ะ)
ระยะปรับตัวของฉันคือ
3 เดือนแรกกินไม่ได้ นอนไม่หลับ
พอหลับตาลงก็เหมือนได้ยินเสียงเด็กร้อง – คิดถึงลูกเหลือเกิน
(ผักกาดตอนนั้นเพิ่งอายุ 1 ปี 4 เดือน และเพิ่งเริ่มพูดได้สองพยางค์) ลูกจะร้องไห้จะร้อนจะหนาวอย่างไรไม่รู้เลย
และบางครั้งก็ต้องลุกขึ้นกระโดดลงหลุมหลบภัยกลางดึกเมื่อได้ยินเสียงหวีดหวิวของปืนครกที่ถูกยิงมาจากค่ายทหารที่อยู่บริเวณพื้นราบ
ตอนนั้นฉันอายุประมาณ 27 ปี
ประจำเดือนหยุดหายไปเลยค่ะ มาอีกทีรู้สึกตอนอยู่ทางเหนือแล้ว
![]() |
ขอบคุณภาพจากอินเทอร์เน็ตค่ะ |
(สำหรับลูกที่ยังเล็กของฉัน
ได้ทราบภายหลังว่า ญาติพี่น้องได้มาช่วยเหลือจุนเจือ
มีคุณอาที่ใกล้ชิดคอยบอกเล่าถึงวีรกรรมของพ่อแม่ที่อยู่ต่างแดนให้ฟัง
เปิดวิทยุเสียงประชาชนให้ฟังและสอนร้องเพลงปฏิวัติให้ด้วย มีคุณย่ามาช่วยกล่อมนอน
คุณปู่ช่วยสอนหนังสือ รวมทั้งมีพี่เลี้ยงคือ “ป้าพิณ” ที่โอบอุ้มและดูแลเขาแทนแม่
และอีกหลายคนในบ้านขณะนั้นที่มีส่วนช่วยกล่อมเกลาให้เธอเติบโตขึ้นเป็นหญิงที่เข้มแข็งแกร่งกล้าในปัจจุบัน
รู้สึกตื้นตันและขอบคุณอย่างหาที่สุดมิได้)
เพียง 3 เดือน น้ำหนักของฉันหายไปประมาณ 10 กิโล กางเกงที่ใส่อยู่ทุกตัวหลวมหลุดหมด
โชคดีที่ทางค่ายมีเสื้อผ้าชุดสีเขียวแบบทหารให้ใส่แทน
หลังจากการรอนแรมในป่าเขา
แบกเป้/แบกเสบียงขึ้นเขาลงห้วยวันละหลายสิบกิโล และสูดอากาศภูเขาที่บริสุทธิ์ชุ่มชื้นเข้าปอดอย่างแรงๆตลอด
แม้ว่าตอนแรกๆ หลายครั้งที่มันทำให้ขาฉันสั่น มือเย็น อ่อนแรง ยกขาไม่ขึ้น ก้าวเท้าไม่พ้นรากไม้
ล้มคว่ำหน้าอกครูดเชิงเขานับครั้งไม่ถ้วน
มองอะไรก็ไม่ค่อยเห็นชัดเพราะสหายแนะนำให้ถอดแว่นตาออกด้วยเกรงว่าจะสะท้อนแสงทำให้เสียลับ...
แต่ในที่สุดเมื่อเวลาผ่านไปๆ ฉันก็รู้สึกว่าร่างกายได้ปรับตัวแล้ว ไขมันเปลี่ยนไปกลายเป็นมัดกล้าม
และมีการเคลื่อนไหวที่ปราดเปรียวประดุจสมิงสาวในราวป่าขึ้นมาแล้ว (เว้ยเฮ้ย!)//
น่าสนใจแท้ๆ
ReplyDeleteประสบการณ์ในป่าดง
ขอบคุณสำหรับคอมเมนท์ เป็นการสร้างขวัญกำลังใจให้คนเขียนค่ะ
Deleteดีครับ ผมได้ฟื้นความหลังไปในตัวด้วย
ReplyDeleteขอบคุณที่คอมเมนท์มาเป็นขวัญกำลังใจนะคะ หากมีอะไรที่เขียนขากตกบกพร่องผิดพลาดไป กรุณาทักท้วงและช่วยให้ข้อมูลกันด้วยนะคะ ขอบคุณอีกครั้งค่ะ
Delete