เดินทางต่อ...ตกสวรรค์ (แอ้ก!)
ฉันพักอยู่ที่เขตฐานที่มั่นเขตรอยต่อสามจังหวัดเพียงไม่กี่วัน
ก็มีกำหนดการเดินทางต่อค่ะ...!
![]() |
ขอบคุณภาพจากเน็ตค่ะ |
การเดินทางครั้งนี้อลังการงานสร้างมากมาย
จัดเป็นกองคาราวานใหญ่ที่คิดๆ ดูเหมือนกับการเย้ยฟ้าท้าดินอย่างแรงเลย เพราะหากเดินเรียงหนึ่งกองคาราวานนี้ก็น่าจะยาวเป็นหลายกิโลเมตรเลยละค่ะ
พากันเดินเล็ดลอดตลอดเส้นทางมาได้ยังไง มันเหมือนฝันๆ เอาแต่มันเป็นจริง
เดินรอนแรมผ่านป่ามาจริงอะไรจริงเลยค่ะ
(หากสหายท่านใดที่ร่วมชะตากรรมอยู่ในช่วงนี้ด้วย
กรุณาเขียนเพิ่มเติมมาเข้ามาให้ก็จักขอบคุณมากนะคะ)
กองคาราวานนี้ประกอบด้วยสหายที่มาจากหลายกลุ่ม
ซึ่งมาร่วมเดินทางไปพร้อมๆ กัน เพราะเมื่อถึงจุดแยกในเส้นทางบางแห่งสหายบางกลุ่มก็แยกทางไปค่ะ
ส่วนเป้าหมายของกลุ่มที่ฉันร่วมเดินเกาะกันมาตลอดทางคือสำนัก 61 หรือ ต่อมาเป็นที่รู้จักในฐานะเป็นโรงเรียนการเมืองการทหารที่นักศึกษาปัญญาชนที่เข้าสู่ป่าเขาเกือบทุกคนต้องผ่านจากโรงเรียนนี้ค่ะ
และฉันคาดเดาเอาเองว่า สำนักนี้น่าจะอยู่แถวๆเขตอำเภอปัว จ.น่าน
ที่มีพรมแดนติดต่อกับทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศลาว (ทั้งหมดที่จะเขียนนี้ล้วนเป็นการคาดคะเนเองทั้งนั้น
หากสหายที่ทราบดีเห็นว่าผิดกรุณาช่วยแก้ด้วยค่ะ)
ดังนั้นเองสำหรับคาราวานชุดนี้
มันคือการเดินเท้ารอนแรมจากเขตฐานที่มั่น 3 จังหวัด โดยผ่านเข้าเขตประเทศลาว เลียบเลาะไปจนถึงหลวงพระบางจากนั้นก็ต่อเส้นทางมาที่ปากแบ่ง
ข้ามโขงที่นั่นแล้วจึงเดินเข้าเขต จ.น่าน (เส้นทางเดินน่าจะประมาณๆ ที่เห็นในแผนที่จำลองในภาพที่นำมาประกอบนี่ค่ะ)
ทั้งหมดนี้ใช้เวลาแรมเดือนถ้าจำไม่ผิด
เริ่มแรกเมื่อเตรียมเดินทาง พวกเราไม่รู้เลยว่าจะเดินไปที่ไหน
คงจะเป็นมาตรการป้องกันการเสียลับ สหายจึงไม่ต้องรับรู้ว่าจะเดินไปไหนกัน
รู้แต่ว่าต้องเดินทางตามผู้นำทางไปติ๊กๆ เท่านั้นเป็นพอค่ะ
ส่วนฉันก็เดินคิดมาตลอดทางว่า
เราน่าจะได้เจอะเจอสามีในไม่ช้านี้ จะได้เจอกันเสียที น่าจะอยู่บนเส้นทางข้างหน้าที่เราจะไปถึง
ยิ่งสาวเท้าไปข้างหน้า เราก็จะยิ่งได้ถึงจุดหมายปลายทางได้เร็ว
ว่าแล้วก็สั่งตัวเองให้สาวเท้าไปๆอย่างเข้มแข็ง อย่าหยุดยั้งลังเล...
“เอางี้สิ
เธอเขียนซีรี่ส์ใช้ชื่อว่า ...เดินทางหมื่นลี้ตามหาสามี...” สหายศัลยาพูดขึ้นมาในวันหนึ่ง
ที่เกิดคิดอยากจะเขียนบันทึกการเดินทาง... ฉันหัวเราะแหะๆ และคิดในใจ
พวกสหายเฟมินิสต์คงรับชื่อซีรี่ส์นี้มิได้ แต่ฉันตอนนั้นคงดูเหมือนใกล้สายป่านขาด...
ฉันตอนนั้นเหมือนได้เก็บงำความคิดความเห็นสักล้านตันไว้ในใจที่อยากจะพูดอยากจะบอกค่ะ...
ฉันก้มหน้าก้มตาเดิน
เดิน เดิน เจอทากเกาะก็เด็ดมันทิ้งไปโดยใช้ความเร็วในการเหวี่ยง จำได้ว่าคนที่บังเอิญเดินใกล้ๆ
ฉันเป็นนักศึกษามาจากคณะวิทยาศาสตร์ไม่กลัวทาก เธอจับมันปลิ้นเอาเศษไม้เสียบขว้างทุกตัว
เรียกขวัญได้มาก/
เส้นทางตอนข้ามไปฝั่งลาวแล้วเดินง่ายขึ้น
ทางใหญ่ขึ้นแต่ก็เป็นเส้นทางที่เพิ่งตัดใหม่ เป็นดินลูกรังผ่านป่าไม้หนาทึบ
มีหน่วยอ้ายน้องทหารปลดแอกประซาซนลาวเป็นผู้นำทาง ประเทศลาวตอนนั้นปลดแอกเรียบร้อยแล้วตั้งเป็นสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
อ้ายน้องที่เป็นหัวหน้านั่นสะพายปืนกลแม็กกระสุนโค้งยาวมันวับ
แล้วตอนย่ำค่ำวันหนึ่งระหว่างที่สหายหยุดพักบริเวณวัดแห่งหนึ่ง เราก็สะดุ้งด้วยเสียงปืนกลรัวชุดใหญ่
ฉันมองขึ้นไปบนยอดไม้เพราะเสียงมันกังวานมาก สักครู่หนึ่งเราก็ได้รับแจ้งว่า
สหายอ้ายน้องลาวใช้ปืนกลยิงทากค่ะ ทากที่คอยเกาะดูดเลือดเรามาตลอดทางนี่แหละ... บางคนบอกว่า
ยิงเสียบ้างเดี๋ยวกระสุนไม่ได้ใช้ค่ะ...โอ...ยิงทากนั่นเอง...//
เส้นทางนี้ยังอีกยาวไกลไหมหนอ...
ฉันนึกในใจขณะพยายามหลับตาลงอย่างยากเย็นในค่ำคืนนั้น...///
No comments:
Post a Comment