Showing posts with label การต่อสู้ทางการเมือง. Show all posts
Showing posts with label การต่อสู้ทางการเมือง. Show all posts

Tuesday, October 28, 2014

อันเนื่องมาจาก “กรณี 6 ตุลา”... รำลึกชีวิตที่รอนแรมในขบวนการต่อสู้ (อวสาน)

การเคารพความคิดเห็นที่แตกต่าง...สู่การจากลาอย่างอารยะ

ขอบคุณภาพจากอินเทอร์เน็ตค่ะ
ก่อนอื่นฉันอยากพูดถึงคำว่า “จัดตั้ง” ในความเข้าใจของฉันสักเล็กน้อย ในครั้งนั้นคำๆ นี้เป็นคำที่ค่อนข้างนามธรรมสำหรับฉัน เริ่มแรกเข้าใจว่ามันเป็นคำกลางๆ สำหรับเรียก “ผู้ใหญ่” ในพรรคฯ ที่อยู่ในสถานภาพที่สามารถตัดสินใจเรื่องสำคัญๆ ได้  ต่อมาก็เห็นว่ามันก็เป็นระบบการจัดการบริหารองค์กรอย่างหนึ่งที่มีลักษณะสั่งการเป็นลำดับชั้น (Hierarchy) และใครก็ตามที่มาอยู่กับพรรคคอมมิวนิสต์ในที่สุดแล้วก็จะต้องถูก “จัดตั้ง” ซึ่งลักษณะเช่นนี้ จัดตั้งก็ดูเหมือนจะเป็น “ผู้นำทางความคิด หรือ mentor” แต่ก็มีอะไรที่มากกว่านั้น เพราะขณะเดียวกันคนๆ นั้นก็จะต้องไปจัดตั้งคนอื่นๆ ต่อๆ ไป จัดตั้งอาจเป็นผู้สั่งการให้ผู้ที่อยู่ในลำดับชั้นล่างลงไปปฏิบัตินั่นนี่ มีภารกิจที่ต้องไปบรรลุเพื่อความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของส่วนรวม โดยมี “กฎเหล็ก” ที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เช่น ชั้นล่างขึ้นต่อชั้นบน เสียงข้างน้อยขึ้นต่อเสียงข้างมาก ส่วนทั้งหมดขึ้นต่อศูนย์กลาง เป็นต้น ซึ่งมีคำศัพท์ที่ใช้เรียกสไตล์การบริหารจัดการหรือการปกครองแบบนี้ว่าเป็น “ประชาธิปไตยแบบรวมศูนย์”
ที่น่าสังเกตคือมีสหายบางคนรู้สึกว่า พรรคและจัดตั้งเป็นเหมือน “พ่อแม่” ที่คอยอบรมชี้นำสั่งสอนเอาเรื่องสำคัญๆ มาบอก มาคอยดูแลทุกข์สุขคอยช่วยเหลือเมื่อพบเจอปัญหา ฯลฯ
ต้องขอโทษไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะหากใครอ่านข้อความข้างต้นแล้วไม่เข้าใจ หรือคลุมเครือ... !
........
ที่พยายามพูดเรื่องนี้ขึ้นมาเนื่องจาก ในช่วงเวลาค่อนไปทางปลายปี 1978 หรือ พ.ศ. 2521 เห็นจะได้นะคะ สหายอาวุโสในสำนักที่ฉันล้วนเคารพนับถือ ได้เมตตาให้ฉันเข้าโครงการศึกษาเรื่องเกี่ยวกับพรรค จัดตั้ง และลัทธิมาร์กซ์-เลนิน-ความคิดเหมาเจ๋อตง ซึ่งฉันเข้าใจว่า เพื่อให้ฉันได้ผ่านกระบวนการตามขั้นตอนของผู้ที่จะเข้าสู่การจัดตั้งของพรรค อะไรทำนองนี้นะคะ โปรแกรมและกระบวนการดังกล่าวดูเหมือนจะมีทั้งหมด 3 ครั้ง ศึกษาเสร็จแล้วก็เขียนรายงานความเข้าใจ และdefend ความเข้าใจของตนเองกับ “จัดตั้ง” คล้ายๆ แบบนี้นะคะ /
ด้วยความเคารพ... เหตุการณ์นี้ได้เกิดขึ้นมานานเกือบ 40 ปีแล้ว ฉันจะขอเขียนในเชิงการรำลึกถึงเหตุการณ์จากมุมมองของตนเองเป็นหลักนะคะ เพราะในระหว่างนั้นหากได้มีการพิจารณาเอกสารรายงานผลการศึกษาของฉันในหมู่สหายในกลุ่มจัดตั้งชั้นบนกันอย่างไรนั้น ฉันก็ไม่ได้มีโอกาสรับรู้จนถึงทุกวันนี้ เพราะเป็นเรื่องปิดลับ...
 แต่... แต่สิ่งที่ฉันอยากจะบอกก็คือ... กระบวนการที่ฉันต้องศึกษาทบทวนเรื่องต่างๆ นี้เอง กลับทำให้ตัวฉันเองได้ค้นพบและได้มีโอกาสทำความกระจ่างในหลายๆ เรื่องที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยคิดมาก่อนค่ะ... บอกได้เลยว่าจนถึงวันนี้ ยังรู้สึกขอบคุณสหายอาวุโสที่ได้เปิดโอกาสให้ฉันได้ผ่านกระบวนการดังกล่าวในครั้งนั้นเป็นอย่างสูงค่ะ
ครั้งนั้น ฉันทำงานไปด้วยและก็ศึกษาค้นคว้าทบทวนประเด็นเรื่องราวต่างๆ ไปด้วยอย่างหามรุ่งหามค่ำตลอดช่วงเวลาหลายเดือน คิดว่าถึงราวๆ ปลายปี 1978 หากจำไม่ผิด ฉันก็ได้เข้าสู่กระบวนการศึกษาครั้งที่ 3 ซึ่งถือว่าเป็นครั้งสุดท้ายแล้วค่ะ (บางคนได้ผ่านตั้งแต่ครั้งแรกค่ะ) ฉันก็ได้ตัดสินใจเขียน “พิจารณาตัวเอง” ลงไปในรายงานที่จะเสนอต่อจัดตั้งด้วยความเคารพและจริงใจอย่างถึงที่สุดว่า ...ฉันคงไม่สามารถเข้าสู่การจัดตั้งของพรรคได้ เพราะฉันไม่เห็นด้วยกับแนวทางสำคัญๆ ของพรรคหลายเรื่อง โดยเฉพาะในเรื่องเกี่ยวกับจุดยืนท่าทีของพรรคในความขัดแย้งระหว่างจีนกับสหภาพโซเวียต แต่ฉันก็เข้าใจถึงความจำเป็นของพรรคและเคารพต่อการตัดสินใจเลือกของพรรค...
ขอบคุณภาพจากเน็ตค่ะ
จนถึงทุกวันนี้ ฉันยังรู้สึกซาบซึ้งถึงความกระตือรือร้นและความเอาใจใส่ของบรรดาสหายอาวุโสหลายคน ที่ต่างก็สละเวลามาเดินคุยเพื่อทำความกระจ่างในปัญหาของฉันคนละหลายครั้งรวมระยะทางหลายสิบกิโลเป็นเวลาหลายวันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งฉันก็หวังว่าฉันได้ทำให้ท่านเหล่านั้นเข้าใจในความคิดเห็นของฉัน ซึ่งไม่มีเรื่องส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวแต่อย่างใดเลย
และก็เป็นความบังเอิญที่เรื่องของฉันมาประจวบกับช่วงเกิดปัญหาใหญ่ ที่ความขัดแย้งระหว่างประเทศคอมมิวนิสต์ใหญ่ดำเนินไปถึงจุดระเบิดเกิดการใช้กำลังเข้าห้ำหั่นกันอย่างละเลงเลือดในช่วงต้นปี 1979 และหลังจากการประกาศปิดสถานีวิทยุ สปท. ไม่นาน สหายพจน์ก็ได้ตัดสินใจขอเดินทางออกจากประเทศจีน ซึ่งมีกระบวนการยาวนานประมาณ 2 ปี กว่าจะได้เดินทางออกจากสำนักจริงๆ ซึ่งระหว่างนั้นได้มีเพื่อนและน้องๆ เข้ามาร่วมเป็นกลุ่มทั้งหมด  6 คน
ในช่วง 2 ปี ระหว่างการรอเดินทางออกนั้น ทางสำนักก็ได้จัดให้เรามีพื้นที่ของตนเองเฉพาะกลุ่ม และไม่มีกิจกรรมร่วมกับสหายอื่นๆ ดังที่เคยปฏิบัติ ขณะเดียวกันยังได้มีการจัดประชุมพิเศษระหว่างกลุ่มเรากับสหายนำระดับสูงๆ ที่อยู่ในประเทศจีนช่วงนั้นหลายคน และหลายครั้ง เพื่อการสนทนาแลกเปลี่ยนและรับฟังความคิดเห็นซึ่งกันและกัน เป็นภาพประทับใจที่ฉันยังจำติดตาจนถึงทุกวันนี้ค่ะ
เพราะนั่นมันคือการจากลากันอย่างอารยะ... เป็นการเคารพความคิดเห็นที่แตกต่างกันอย่างอารยชนพึงกระทำค่ะ/
นั่นคือท่าทีและการปฏิบัติที่มีอานุภาพ หนุนนำให้เราเหลือพื้นที่ในใจที่จะจดจำสิ่งดีๆ ไว้ได้อย่างแม่นยำ...แม้เวลาล่วงเลยตราบนานเท่านาน...และด้วยจิตคารวะอย่างจริงใจค่ะ///

ข้อเขียน ...อันเนื่องมาจาก “กรณี 6 ตุลา” ...รำลึกชีวิตที่รอนแรมในกระบวนการต่อสู้... ก็จบบริบูรณ์เพียงเท่านี้

Sunday, October 26, 2014

อันเนื่องมาจาก “กรณี 6 ตุลา”... รำลึกชีวิตที่รอนแรมในขบวนการต่อสู้ (13)

สำนัก สปท. ที่ยังตราตรึงในความทรงจำ

ขอบคุณภาพทิวทัศน์คุนหมิงจากเน็ต
กลับมาสวัสดีทุกท่านอีกครั้งหลังจากหยุดพักเบรกไปสองสามวันนะคะ บันทึกรำลึกอย่างย่อชุดนี้ก็ดำเนินมาจนถึงช่วงปลายใกล้จบแล้วค่ะ ใคร่ครวญดูแล้วก็น่าจะเหลืออีกประมาณ 3 ตอนรวมทั้งตอนนี้ด้วย ก็จะถึงวาระอวสานตามกรอบเวลาที่ตั้งไว้เพื่อรำลึกเหตุการณ์เรื่องราวที่ฉันผ่านพบในช่วงนี้โดยเฉพาะแล้วนะคะ หากทุกท่านสังเกตก็จะพบว่า ฉันได้เลือกเล่าบางเหตุการณ์เพื่อให้มองเห็นภาพใหญ่ที่เชื่อมร้อยในระยะเวลารวมทั้งหมดประมาณ 5 ปีที่ฉันรอนแรมอยู่ทั้งในป่าเขาและในต่างประเทศ ซึ่งในแต่ละตอนก็ได้อมเหตุการณ์ย่อยต่างๆ ไว้มากมายที่ฉันไม่ได้นำมาเขียนเล่า เพราะมิฉะนั้น เรื่องรำลึกชีวิตนี้มันก็จะไม่สามารถจบลงใน 15 ตอนแบบนี้ละค่ะ เอาไว้หากว่าใครอยากจะคิดทำซี่รี่แบบเกาหลีนะ ก็จะกลับมาลงแรงเขียนต่อเติมเพิ่มเข้ามาเอาให้ดุเด็ดเผ็ดมันชนิด dig deep ลงในรายละเอียดเชิงมหากาพย์กันอีกทีละกันนะคะ
ในตอนนี้ จะเล่าบรรยากาศในสำนัก สปท. ระหว่างที่ฉันเข้าไปร่วมทำงานและนำเสนอภาพเหตุการณ์ที่ยังเหมือนสดใหม่อยู่ในความทรงจำของแท้ๆ แบบอินสแต้นท์จากมุมมองของฉัน เพราะสหายท่านอื่นๆ ก็อาจจะมีมุมมองที่ต่างไปจากฉัน เป็นอันเข้าใจร่วมกันตามนี้นะคะ
สำนัก สปท. หรือสถานีวิทยุเสียงประชาชนแห่งประเทศไทย ในมุมมองของฉันในช่วงที่ฉันได้มีโอกาสเข้ามาร่วมทำงาน เป็นสำนักของคนทำงานสื่อค่ะ ฉันประจำอยู่ในกองบรรณาธิการติดตามข่าวเขียนรายงานข่าวต่างประเทศ ซึ่งในกองก็มีสหายร่วมทำงานอยู่ทั้งหมดประมาณ 4-5 คน ดูเหมือนฉันจะอาวุโสน้อยสุดในเวลานั้น ส่วนกองข่าวในประเทศดูเหมือนจะเป็นกองใหญ่ มีสหายอาวุโสทำงานอยู่มากหน้าหลายตา รวมทั้งสหายพจน์ก็อยู่ในกองนี้ด้วยค่ะ เวลาในการทำงานในสำนักแบ่งออกเป็น 3 ช่วง คือเช้าถึงเที่ยงวัน หลังรับประทานอาหาร (มีโรงครัวแยกต่างหาก ห้องอาหารรวมเป็นแบบโต๊ะจีนมีสหายร่วมโต๊ะกันประจำประมาณ 6-10 คน) มีช่วงพักนอนงีบตอนบ่าย (Siesta แบบคนฝรั่งเศส ซึ่งทิ้งเป็นมรดกไว้ในประเทศอินโดจีน) ประมาณ 1-2 ชั่วโมง
เริ่มทำงานช่วงที่สองประมาณบ่ายสองโมงเศษๆ ไปจนถึงประมาณ 4-5 โมงเย็น เลิกงาน สหายก็จะมีเวลาออกกำลังกาย บ้างก็เล่นวอลเล่ย์บอล (สหายพจน์เล่นจนนิ้วซ้นไป 1 นิ้ว) บ้างก็ตีปิงปอง (ฉันจองโต๊ะปิงปองประจำเลยค่ะ) สหายอาวุโสบางคนจะเดินตามถนนในสำนักซึ่งกว้างยาวไม่น้อยค่ะ จากนั้นก็อาบน้ำในโรงอาบน้ำที่มีเตาต้มน้ำใหญ่ควันโขมงอยู่ตลอดเวลา รับประทานอาหารเย็นประมาณ 6 โมงเย็นถึงหนึ่งทุ่ม จะมีการทำงานอีกช่วงหนึ่งระหว่าง 2 ทุ่มเศษ ถึงประมาณ 4-5 ทุ่ม แต่บางทีสหายบางคนงานเร่งบ้างไม่เสร็จบ้างอะไรบ้าง บรรยากาศการทำงานแบบโต้รุ่งต้มบะหมี่ชงกาแฟหยาดหยดแบบเวียดนามข้างเตาผิงกลางห้องทำงานจึงเป็นบรรยากาศปกติธรรมดาของกองบรรณาธิการนี้เลยละค่ะ
ดังนั้น ทุกท่านเมื่อหลับตานึกภาพตามฉันมาเรื่อยๆ ก็คงเข้าใจแล้วละค่ะว่า ที่ทำงานของฉันนั้นแวดล้อมด้วยนักเขียนนักวิเคราะห์ข่าวสาร ผู้ใช้และมากด้วยจินตนาการอย่างสูง เพื่อผลิตต้นฉบับที่เมื่อได้รับการนำไปอ่านออกอากาศทางวิทยุ ผู้รับสารที่เป็นสหายทั้งแนวหลังแนวหน้ารวมทั้งประชาชนทั่วไปที่สนใจ ก็จะได้รับข่าวสารฟังการวิเคราะห์สรุปเสนอแนวคิดต่างๆ ที่เต็มไปด้วยหลักการและความมีชีวิตชีวาที่ช่วยให้เข้าใจได้ง่ายนั่นเองค่ะ
แน่นอนที่สุดค่ะ กองข่าวต่างประเทศที่ฉันร่วมงานอยู่ในครั้งนั้น มีบรรยากาศต่อต้านจักรพรรดินิยมอเมริกาอย่างเข้มข้นมากๆ เพราะในครั้งนั้นอเมริกาสนับสนุนเผด็จการ ดังนั้น มันจึงสอดคล้องมากกับอารมณ์เกลียดจักรพรรดินิยม เกลียดเผด็จการอย่างมากของฉัน (ช่วงนั้นการต่อต้านอเมริกาเป็นกระแสใหญ่สะพัดไปทั่วโลก) และในระหว่างนั้นเองสถานการณ์ของอเมริกาก็กำลังแย่เนื่องจากเพิ่งพ่ายแพ้ในสงครามเวียดนามต้องล่าถอยต้องถอนทหารนับแสนคนออกจากสมรภูมิที่เวียดนาม เราจึงพบว่าการเคลื่อนไหวของอเมริกามักจะเข้าแนวทางการวิเคราะห์ของฝ่ายประชาชนที่ว่า จักรพรรดินิยมนั้นใกล้ตายชอบที่จะยกก้อนหินทุ่มขาตัวเองอยู่ประจำ คือมักจะเลือกทำอะไรๆ ที่จะทำให้ตัวเองแย่ลงเรื่อยๆ เสมอ
และตามประสาการมองไกลไปข้างหน้าเสมอของเหล่านักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยทั้งปวง ก็ทำให้คนในขบวนการนี้มักจะมีจินตนาการเห็นทะลุทะลวงไปว่า แม้หนทางจะคดเคี้ยว แต่การต่อสู้ของประชาชนนั้นถูกต้องมีความเป็นธรรม จึงมีอนาคต และจะได้รับชัยชนะในที่สุดอย่างแน่นอนค่ะ ขวัญกำลังใจสูงมากๆ ในเวลานั้น
อย่างไรก็ตามสหาย ในสำนักก็ใช่ว่าจะนั่งอึดทึดอยู่แต่ในเก้าอี้เท้าแขนกันทั้งวันทั้งคืน ดังที่กล่าวแล้วว่า มีช่วงเวลาการพักการทำงานการเล่นกีฬา นอกจากนั้นยังมีช่วงของการบันเทิง มีวันหยุดที่ได้ออกไปซื้อของในเมืองคุนหมิง มีการจัดทัศนศึกษาเดินทางไปเยือนสถานที่สำคัญต่างๆ เป็นระยะๆ เช่นไปปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ ฟุเจี้ยน หูหนาน เป็นต้น และที่สำคัญ สหายทุกคนมีโอกาสร่วมใช้แรงงานในแปลงผักหลังสำนัก ที่มีทั้งผักกาด คะน้า กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก ถั่วลันเตา มีการสับเปลี่ยนกันไปรดน้ำรดปุ๋ย เก็บเกี่ยว ฯลฯ เป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ

เอาละค่ะ ทั้งหมดที่เห็นและเป็นอยู่นั้น ก็เป็นที่ทราบกันว่า หลักๆ มาจากการช่วยเหลือของพรรคคอมมิวนิสต์จีน รวมทั้งพรรคพี่น้องในอินโดจีนที่เป็นเสมือนหลังพิงที่สำคัญให้แก่พรรคไทยนั่นเอง คิดง่ายๆ ถ้ามีสำนักทำนองนี้ตั้งอยู่บนผืนแผ่นดินไทย ก็คงถูกทิ้งระเบิดราบเป็นหน้ากลองไปนานแล้วนั่นเอง///

Wednesday, October 22, 2014

อันเนื่องมาจาก “กรณี 6 ตุลา”... รำลึกชีวิตที่รอนแรมในขบวนการต่อสู้ (12)

ขอกราบขอบพระคุณ “คุณลุงกุหลาบ” ค่ะ

ฉันได้รับการต้อนรับจากสหายในสำนักอย่างอบอุ่น... “ที่นี่มี 4 ฤดูในวันเดียวนะ สหายต้องเตรียมร่มหรือเสื้อกันฝน กับเสื้อกันหนาวหนาๆ ไว้ตลอด” สหายคนหนึ่งบอกถึงลักษณะพิเศษที่น่าทึ่งของเมืองคุนหมิง ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่สูงเหนือระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ 1,800 เมตร ออกซิเจนก็ค่อนข้างเบาบาง ต้องสูดหายใจลึกๆ พวกนักกีฬาที่มาจากพื้นราบมาแข่งขันที่นี่น๊อคมาเยอะแล้ว” สหายอีกคนหนึ่งเล่า และมีสิ่งที่สหายเกือบทุกคนที่นี่ต้องการอย่างมากก็คือ การได้รับฟังเรื่องราวจากแนวหน้า โดยเฉพาะที่ภาคใต้ค่ะ ฉันก็เล่าให้สหายฟังตามที่ตนเองเห็นและได้ผ่านมาค่ะ ดูท่าทางสหายทุกคนมีความกระตือรือร้นที่ได้รับฟังเรื่องราวจากแนวหน้าค่ะ...
เหตุการณ์ตอนไปถึงใหม่ๆ ที่จำได้แม่นคือ ทุกคนที่นี่ต้องมีของประจำตัวสองอย่างที่ขาดเสียมิได้นั่นคือ “กาละมังแช่เท้ากับกระติกน้ำร้อน” เพื่อทำพิธีกรรมก่อนเข้านอนในเตียงที่มีผ้านวมหนานุ่ม ทั้งนี้เนื่องจากมีฤดูกาลที่ไม่แน่นอน ทุกห้องจึงไม่มีเครื่องทำความอุ่น ในวันที่อากาศหนาวมาก ทุกคนใช้กระติกน้ำร้อนซุกไว้ใต้ที่นอน และก่อนนอนก็เอาเท้าแช่น้ำอุ่น ส่วนหนึ่งก็เป็นการทำความสะอาดเท้า และสร้างความอบอุ่นให้ร่างกายตามธรรมชาติด้วยค่ะ (นึกถึงซีรี่เกาหลี ฉากที่พระเอกล้างเท้าให้นางเอกไหมคะ? แต่..อันนี้นางเอกแช่เท้าล้างและนวดเท้าเองอย่างเอาจริงเอาจังค่ะฉากนี้)
“ห้องพักนี้เดิมเป็นห้องที่พักของคุณลุงกุหลาบ” สหายพจน์ (ชื่อจัดตั้งของสามีค่ะ) เริ่มเล่าแบคกราวน์ดาต้าให้ฉันฟังไปเรื่อยๆ ฉันตื่นเต้นมาก “กุหลาบ สายประดิษฐ์ เจ้าของนามปากกา ศรีบูรพา ของนิยายเรื่อง ข้างหลังภาพ น่ะเหรอ?”
โอ... เราได้อยู่ในห้องที่เคยเป็นที่พำนักของนักคิดนักเขียนที่โดดเด่นมากของเมืองไทยเลยหรือนี่?
รู้สึกตื้นตัน... ตื่นเต้น... เป็นปลื้ม...
สหายพจน์เล่าว่า คุณลุงพักอยู่ที่นี่หลายปี และเพิ่งเสียไปเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมานี่เอง (คุณลุงกุหลาบถึงแก่มรณกรรมเมื่อปี พ.ศ. 2517 ค่ะ) และสหายเจ้าสำนักที่นี่เพิ่งเปิดห้องนี้ให้เรามาพักอยู่ “รู้สึกจะเป็นห้องเดียวที่มีห้องน้ำที่เป็นโถชักโครกแบบตะวันตก” โอ... ช่างเป็นบุญที่เคยสร้างมาแต่ปางใด... มีห้องเก็บของเล็กๆ ฉันสังเกตเห็นสหายพจน์แอบสะสมพวกสาหร่ายที่เป็นแผ่นๆ รวมทั้งเส้นบะหมี่ซองๆ เอาไว้จำนวนหนึ่งด้วย “กลัวขาดไอโอดีน” สหายบอก เอามาต้มกินเป็นครั้งคราวโดยมีเตาไฟฟ้าเล็กๆ อยู่ในห้องด้วย ...เลิศ!
คืนแรกที่สำนักนี้ฉันหลับสนิทเป็นตายไปกี่ชั่วโมงไม่ได้นับ แต่เมื่อฉันตื่นขึ้นลงจากเตียงมองไปข้างนอกจากหน้าต่างกระจก บรรยากาศเช้ามืดภายในสำนักยังเงียบสงัด แต่... แต่ฉันมองเห็นอะไรแปลกๆ เป็นสีขาวโพลนทั่วไปหมด... หิมะนั่นเองค่ะ หิมะตกในคืนแรกที่ฉันมาถึง! ฉันตื่นเต้นมาก... เพราะก็เพิ่งเห็นหิมะจริงเป็นครั้งแรกในชีวิตที่นี่แหละค่ะหิมะแอบตกในคืนที่ฉันเพิ่งมาถึง! เชื่อแล้วที่ว่าวันๆ หนึ่งมีหลายฤดู (ยิ่งอยู่ไปก็ยิ่งพบว่ามันเป็นเช่นนั้นค่ะ) หลังจากนั้นสหายทั้งสำนักก็ตื่นเต้นกับหิมะที่เพิ่งตกครั้งแรกในรอบหลายๆ ปีเลยทีเดียว สหายพาฉันไปซื้อรองเท้าสำหรับใส่กันหิมะกัด โดยแนะนำให้ซื้อบู๊ทหุ้มข้อหนังกลับสีน้ำตาลเข้ม มันก็ได้เป็นรองเท้าคู่เก่งตลอดช่วงที่แนวหลังนี้ค่ะ...
จากนั้นไม่นานนักนะคะ ฉันก็ได้เข้าทำงานในแผนกงานเขียนรายงานข่าวต่างประเทศของ สปท. โดยดูเหมือนฉันจะเป็นคนเดียวในแผนกนี้ที่ใช้แหล่งข่าวเป็นภาษาอังกฤษ ขณะที่สหายคนอื่นๆ สามารถฟัง อ่าน พูดและอาจรวมทั้งเขียนภาษาจีนได้
ฉันดีใจที่ได้มาทำงานที่ตนเองถนัด และที่นี่รับหนังสือเอกสารรวมทั้งแมกกาซีนข่าวที่เป็นภาษาอังกฤษอยู่ไม่น้อย เช่นมีทั้ง ไทมส์, นิวส์วีค, ฟาร์อิสเทิร์นอิโคโนมิกส์รีวิว, ยูเอสนิวส์แอนด์เวิร์ลรีพอร์ต, ปักกิ่งรีวิว, ซินหัวนิวส์ เป็นต้น รวมทั้งมีเครื่องรับวิทยุคลื่นสั้นที่มีกำลังสูงสามารถรับสัญญาณได้อย่างชัดเจนกว่าตอนที่อยู่ในป่าที่ภาคใต้ ฉันได้พัฒนาความเร็วในการจดข่าวที่รับฟังจากวิทยุขึ้นมาชุดหนึ่ง (เป็นพวกสัญลักษณ์และตัวย่อต่างๆ) จนสามารถจดรายละเอียดของข่าวที่รับฟังจากวิทยุได้เกือบครบถ้วน จึงสามารถนำมาใช้เป็นแหล่งข่าวได้อีกส่วนหนึ่งด้วย
ได้รับทราบจากสหายว่า บรรดาหนังสือนิตยสารภาษาอังกฤษที่มีอยู่ในสำนักนี้นั้น มีมาตั้งแต่ครั้งที่คุณลุงกุหลาบซึ่งพำนักอยู่ที่นี่ เป็นผู้อ่านหนังสือเหล่านี้ ต่อมาภายหลังฉันยังได้พบนิตยสารฉบับเก่าๆ ย้อนหลังไปหลายปีเก็บอยู่เป็นห้อง ทั้งหมดเลยกลายเป็นเหยื่ออันโอชะของฉันเลยค่ะ ถ้าฉันหายไป หาตัวได้ที่ห้องนี้เลยค่ะ ห้องหนังสือเก่าๆ ของคุณลุงกุหลาบนี่เองค่ะ

ฉันรู้สึกขอบคุณคุณลุงกุหลาบอย่างหาที่สุดมิได้ ที่ทิ้งมรดกอันล้ำค่าเหล่านั้นไว้... ให้ฉันได้ใช้ประโยชน์ระหว่างที่พำนักและปฏิบัติงานอยู่ ณ สำนักแนวหลังแห่งนี้ 
ขอกราบขอบคุณท่านอย่างหาที่สุดมิได้ค่ะ///

Tuesday, October 21, 2014

อันเนื่องมาจาก “กรณี 6 ตุลา”... รำลึกชีวิตที่รอนแรมในขบวนการต่อสู้ (11)

ฉันเลือก... ความสำนึกในบุญคุณ

ขอบคุณภาพจาก Pinterest
ตัดฉากมาที่นี่เลย เพื่ออยากบอกให้รู้ว่า ในที่สุดในช่วงเวลาราวกลางๆ ปี 2521 ฉันก็ได้เดินทางมาบรรจบพบกับสามีที่สำนักแห่งหนึ่งของพรรคคอมมิวนิสต์ไทยที่ตั้งอยู่ ณ เมืองคุนหมิง ในมณฑลยูนนาน ทางภาคใต้ของสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยใช้เวลาในการเดินทางรอนแรมอยู่อีกประมาณ 2-3 เดือนค่ะ
คราวนี้มีฉันเดินทางรอนแรมอยู่เพียงคนเดียวแล้วค่ะ... Lonely Planet เดินทางโดดเดี่ยวเทียวไปในป่าเขาเลยค่ะ ไม่มีหมู่คณะ ไม่มีน้อง ไม่มีพี่ที่เป็นอย่างเราๆ มีแต่สหายอ้ายน้องลาวที่มารับช่วงต่อๆ กันเป็นทอดๆ...
เส้นทางที่ฉันข้ามผ่านคราวนี้ ดูตามแผนที่ในรูปนั้นโดยประเส้นเชื่อมจากปากแบ่งเบี่ยงออกไปทางแขวงอุดมไชย (? ไม่แน่ใจน่ะค่ะ) จำได้ว่าผ่านเมืองลา ซึ่งมีสำนักใหญ่แห่งหนึ่งของเราอยู่ที่นั่น ก่อนไปเชียงรุ้ง แล้วจึงต่อไปจนถึงคุนหมิงโดยเครื่องบินนั่นเองค่ะ (อย่างไรก็ตาม เส้นทางที่เดินจริงๆ อาจไม่ตรงเป๊ะเหมือนในภาพนัก เพราะผ่านเวลามาเกือบ 40 ปีก็อาจจะคดเคี้ยวอ้อมไปอ้อมมามากกว่าก็เป็นได้นะคะ)
ระหว่างการเดินทางและพักแรมระหว่างทาง ซึ่งมักจะได้พักตามบ้านที่เหมือนจัดไว้โดยเฉพาะ มาคนเดียวก็พักคนเดียวทำนองนั้น บางแห่งพักอยู่นาน บางแห่งก็พักไม่กี่วันตามเส้นทางเหล่านั้น ฉันพยายามไม่คิดอะไรเลย ทำจิตใจให้ว่างเปล่าและตอบสนองเฉพาะสิ่งที่ตั้งวางอยู่ตรงหน้าเท่านั้น... ตลอดการเดินทาง ฉันเกือบไม่ได้พูดอะไรเลยค่ะ เพราะผู้ที่เป็นคนพาฉันเดินทางไปส่วนใหญ่เป็น “อ้ายน้องลาว” ที่แต่งตัวแบบพลเรือนเดาว่าน่าจะเป็นผู้ปฏิบัติงานในระดับท้องถิ่นของพรรคคอมมิวนิสต์ลาว พวกเขาสุภาพเรียบร้อยมีมารยาทเยี่ยงผู้ที่ได้รับการฝึกอบรมมาอย่างดี เขาได้ดูแลการเดินทาง ที่พัก อาหาร และได้ส่งต่อฉันเป็นทอดๆ ไปจนตลอดรอดฝั่ง... สาธุ... น่ารักน่านับถือจริงๆค่ะ
ไม่ว่าใครก็ตามที่อยู่เบื้องหน้าเบื้องหลังการเดินทางครั้งนี้ ฉันขอซาบซึ้งในบุญคุณค่ะ/
ขณะเดินทางฉันยังคงสวมเสื้อผ้าชุดคล้ายทหาร –ชุดเก่งของฉัน- เพียงแต่ไม่ได้คาดบิดง (เข็มขัดที่มีบิดง คือหม้อแฝดใส่อาหารห้อยอยู่ข้างหลัง ซึ่งส่วนใหญ่ฉันมักใส่ข้าวเหนียวจนอัดแน่นทุกวัน แหะๆ ..ไม่ใช่เข็มขัดปืนค่ะ) อาหารส่วนใหญ่ที่ฉันรับประทานระหว่างเดินทางโดดเดี่ยวเที่ยวนี้ ส่วนใหญ่เป็นอาหารกระป๋อง จำพวกเนื้อสัตว์ ดูที่ข้างกระป๋องส่วนใหญ่มาจากต่างประเทศแถบยุโรปตะวันออก เมื่อก่อนก็เป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียตนั่นละค่ะ จำได้มีอยู่ช่วงหนึ่งกินตับบดกระป๋องเกือบทุกวัน เป็นตับบดกระป๋องมาจากฮังการีทีเดียวเลยค่ะ 
ชาวลาวที่พบเห็นฉันระหว่างทาง มักจะทักว่าฉันเป็น “คนจีน” เพราะเขาดูที่ทรงผม ว่าฉันไว้ผมซอยสั้นแบบคนจีน ผู้หญิงลาวโดยทั่วไปยังคงไว้ผมยาวเกล้ามวย ทั้งผู้ใหญ่และเด็กๆ ตามหมู่บ้านชายแดนแบบนั้น และ ตามเส้นทางที่รถแล่นผ่าน ก็มักจะพบสถานีซ่อมสร้างถนนที่มีคนจีนทำงานอยู่เป็นระยะๆ ...
ช่วงที่ฉันได้ขึ้นรถโฟร์วีล ที่สหายอ้ายน้องขับผ่านถนนที่ลัดเลาะป่าเขาไปเรื่อยๆ (น่าจะเป็นช่วงที่เดินทางจากเมืองลาไปเชียงรุ้ง – เดานะคะอาจจะผิด) เป็นระยะการเดินทางที่ค่อนข้างยาวนานพอสมควร วิวสวยมากตลอดทางค่ะ ฉันมองวิวข้างทางตาไม่กระพริบ ถ้าฉันเป็นศิลปินวาดภาพที่เห็นระหว่างนั้น ภาพวาดของฉันจะออกมาคล้ายภาพลายเส้นแบบโบราณของจีนที่เราเห็นเป็นวิวต้นไม้ริมหุบเขาสูงที่มีลำต้นคดงอแต่ใบแผ่ขยายรับแสงอาทิตย์มีเมฆสีขาวคลอเคลียร์ตัดกับสีเขียวของใบและสีเทาอมครีมของกิ่งก้าน มองต่ำเป็นหุบเหวลึกลงไปเบื้องล่างบางครั้งก็ได้เห็นน้ำในลำธารที่ไหลรินๆ บ้าง ซ่าๆ เป็นฟองขาวเมื่อผ่านโขดหินบ้าง และมองสูงขึ้นไปผ่านช่องใบและผ่านยอดไม้ เห็นยอดเขาลิบๆ กับก้อนเมฆ ... คล้ายๆ แบบนี้ละค่ะ สวยคลาสสิกมากฉันว่านะ//
ปลายทางของฉันครั้งนั้นคือสำนักที่เป็นที่พำนักและปฏิบัติงานของทีมงานที่ผลิตรายการออกอากาศของวิทยุเสียงประชาชนแห่งประเทศไทย ของพรรคคอมมิวนิสต์ไทย หรือเรียกย่อๆ กันว่า สปท. นั่นเอง ส่วนแหล่งที่ออกอากาศปิดลับมาก ถึงเวลาก็จะมีคนมารับเทปไป จนถึงทุกวันนี้ฉันก็ยังไม่ทราบว่ารายการทั้งหมดออกอากาศจากที่ไหน และไม่อยากเดาไม่เคยถามไม่รู้ดีกว่าค่ะ //
(แต่กระนั้น เวลาได้เดินทางออกจากสำนักไปที่ไหนก็ตาม ฉันมักจะแหงนมองสอดส่ายสายตาจนคอตั้งบ่าว่า อาจจะเห็นเสาวิทยุออกอากาศอยู่ตามภูเขาที่รถผ่านไป... ก็แห้วตลอด!)
นอกจากสามีแล้วฉันก็ได้พบสหายอีกหลายคนที่มาจากในเมืองและเข้ามาร่วมงานกันที่นี่...ค่ะ
และ...นอกจากความตื่นเต้นแล้ว ...ที่บ่าล้นอยู่ภายในใจของฉันคือ ความสำนึกในบุญคุณทุกคนทุกภาคส่วนที่ได้อุตส่าห์ส่งให้ฉันได้มาจนถึงตรงนี้อย่างครบถ้วนทั้งกายใจ

รู้สึกตื่นเต้นและซาบซึ้งจริงๆ ค่ะในตอนนั้น///

Sunday, October 19, 2014

อันเนื่องมาจาก “กรณี 6 ตุลา”... รำลึกชีวิตที่รอนแรมในขบวนการต่อสู้ (9)

Walking… Breathing… and …Having concentration!

เดิน... หายใจ... และ...มีสติ!  เป็นกฎเหล็กหรือข้อพึงปฏิบัติสำหรับการเดินขึ้นภูเขาที่ฉันสรุปได้จากการเดินทาง (อย่างบ้าคลั่ง) ในช่วงเกือบสองปีในป่าเขาค่ะ
ขอบคุณภาพจาก Pinterest ค่ะ
...ฉันไม่ได้คิดว่าเป็นการค้นพบอันยิ่งใหญ่แบบ - ยูเรก้า – หรืออะไรทำนองนั้นหรอก มันก็แค่เป็นบทเรียนจากการดำเนินชีวิตช่วงหนึ่งที่ไม่ปกติ ที่แปลกออกไปจากที่คุ้นเคยเท่านั้นค่ะ...แต่มันก็เป็นบทเรียนจากชีวิตที่ฉันนำมาใช้ได้จนทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นเดินขึ้นบันไดสะพานข้ามถนน หรือบันไดทุกแบบในโลกนี้ ฉันก็พิชิตมันได้อย่างราบคาบมาทั้งหมด รับรองว่ามันใช้ได้จริงๆ ค่ะ
........
จริงๆ แล้วการเดินทางไกลมากับกองคาราวานครั้งนั้น แม้จะรอนแรมแบบไม่รู้เหนือรู้ใต้สักเท่าใด แต่ฉันกลับรู้สึกผ่อนคลายลิงโลดเริงร่าร้องรำทำเพลงร่วมกับสหายมาเกือบตลอดทาง... ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะว่าฉันได้ผ่านการปรับตัวปรับใจปรับกายกับชีวิตที่รอนแรมแบบนี้ได้ในระดับที่แน่นอนแล้ว โดยที่สำคัญฉันเริ่มมีร่างกายและแขนขาที่แข็งแกร่งขึ้นสามารถรับมือกับการเดินขึ้นภูลงภูได้มากขึ้นแล้ว...
สหายแต่ละคนที่อยู่ในกองคาราวานแม้มาจากคนละที่ทางกัน ส่วนใหญ่มักเป็นนักศึกษาที่ได้เข้าร่วมมีบทบาทต่างๆ ในขบวนการต่อสู้จากสถาบันการศึกษาต่างๆ มีที่เป็นคนหนุ่มสาวที่ทำงานมีครอบครัวแล้วอย่างฉันไม่มากนัก โดยทั่วไปจึงมักมาเป็นกลุ่มเล็กๆ และเพิ่งรู้จักกันในระหว่างที่เดินไปด้วยกัน แต่ทุกคนก็มีความรู้สึกเป็นมิตร รู้สึกเห็นอกเห็นใจช่วยเหลือเอื้ออาทรต่อกันเหมือนเป็นญาติพี่น้องเป็นผู้ร่วมอุดมการณ์กัน ใครลื่นล้มก็ช่วยกันพยุงให้ลุกขึ้นมา ใครเจ็บหัวปวดท้องใครมียาติดมาก็แบ่งปันให้กัน ดูแลซึ่งกันและกันไประหว่างการเคลื่อนขบวนไปข้างหน้า...
ฉันคิดว่า อย่างน้อยการเดินไปข้างหน้าที่ดูเหมือนมีเป้าหมายแบบนี้ ก็เป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นมากกว่าจำเจอยู่กับที่/
........
จากการที่ต้องเดินไปลุยไป จากที่ต้องลื่นล้มลุกคลุกคลาน ผ่านฝนเปียกปอนผ่านร้อนผ่านหนาวอย่างโชกโชน และบางครั้งก็โชกเลือด (ทั้งจากบาดแผลและจากการโดนทากดูด) ฉันก็ค่อยๆ พบว่าในราวป่าช่างเต็มไปด้วยชีวิตชีวา นอกจากมีเรื่องตื่นเต้นที่ผ่านเข้ามาไม่เว้นแต่ละวันแล้ว ระหว่างที่เดินก็เหมือนได้ฝึกสมาธิ ได้ฝึกฝนความอดทนของตนเอง ฝึกหายใจฝึกเดินไปตามจังหวะการหายใจ จากนั้นมันได้ทำให้ฉันค้นพบกฎเกณฑ์ในการเดินขึ้น-ลงภูเขาที่สูงชันขณะต้องแบกเป้สัมภาระไว้บนหลังที่มีน้ำหนักไม่น้อย โดยที่ไม่เหนื่อยมากและเดินได้ทนมากขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ ทำให้กล้าท้าทายไม่กลัวการปีนภูเขาสูงเหมือนที่ผ่านๆ มา...
ก่อนจะรู้ตัว / ฉันก็ได้หลงรักการเดินทางในป่าเขาเข้าไปแล้วอย่างหมดใจเลยจริงๆ... บอกได้เลยว่า ฉันได้พบว่าการเดินทางนี่ช่างวิเศษจริงๆ ค่ะ 
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากที่ผ่านจุดพักยาว ณ สถานที่แห่งหนึ่ง ที่นั่นทุกคนได้รับแจกเสื้อผ้าชุดใหม่สีเขียวคล้ายทหาร และรองเท้าผ้าใบหุ้มข้อ / ย้ำค่ะ รองเท้าผ้าใบแบบหุ้มข้อค่ะ! อย่างหลังเนี่ยมันช่างวิเศษ “ใช่เลย! –พระเจ้าจอร์จมันยอดมากๆๆ ฉันถึงกับเอ่ยปากขอบคุณพรรคคอมมิวนิสต์เลยละค่ะ จากนี้ไปฉันจะสามารถปลอดจากการคุกคามของทากโดยเด็ดขาด ฉันจะสามารถก้าวเดินอย่างมั่นคง บุกน้ำลุยไฟขึ้นเขาลงห้วยอย่างห้าวหาญไม่หวั่นเกรงอีกต่อไปแล้วค่ะ...
กฎเกณฑ์การเดินขึ้นเขาขณะแบกเป้โดยการสาวเท้าไปข้างหน้าให้สอดคล้องกับจังหวะการหายใจ หายใจให้ลึกถึงปอดเป่าลมออกทางปากและสูดลมเข้าให้สอดคล้องกับจังหวะการก้าวเดินของเท้า อย่าสติหลุด มีถุงเท้าสวมซ้อนกันสองชั้นมีรองเท้าดีมีกางเกงขาจั๊มกลัดกระดุมที่ปลายขาแล้วไม่ต้องหวั่นเกรงทากหรือสัตว์เลื้อยคลานชนิดใดๆ อีก...
ครั้งนั้นฉันรู้สึกเหมือนได้ชีวิตใหม่ และฉันคงเผลอตัวคิดว่าฉัน “บรรลุ” แล้ว ฉันจะโบยบินไปอย่างอิสรเสรี ฉันเกือบหลงผิดคิดว่าตัวเองจะได้มีอิสระแล้ว ถ้าหากไม่ได้บังเอิญมาเจอสหายคนหนึ่งที่เข้ามาร่วมทางเดินช่วงสั้นๆ ก่อนที่ฉันจะถึงสำนัก 61 สหายคนนี้แหละค่ะที่ทำให้ฉันสายป่านขาด สติตกแตกกราวเมื่อเค้าพูดกับฉันว่า...

“เธอต้องไปเข้าโรงเรียน (การเมืองการทหาร) ที่สำนัก 61 ก่อน” นั่นเป็นคำพูดสั้นๆ ของเค้าที่ดังซ้ำไปซ้ำมาในสมองของฉันอยู่หลายวันเลยค่ะ...

Thursday, October 16, 2014

อันเนื่องมาจาก “กรณี 6 ตุลา”... รำลึกชีวิตที่รอนแรมในขบวนการต่อสู้ (8)

เดินทางต่อ...ตกสวรรค์ (แอ้ก!)

ฉันพักอยู่ที่เขตฐานที่มั่นเขตรอยต่อสามจังหวัดเพียงไม่กี่วัน ก็มีกำหนดการเดินทางต่อค่ะ...!
ขอบคุณภาพจากเน็ตค่ะ
การเดินทางครั้งนี้อลังการงานสร้างมากมาย จัดเป็นกองคาราวานใหญ่ที่คิดๆ ดูเหมือนกับการเย้ยฟ้าท้าดินอย่างแรงเลย เพราะหากเดินเรียงหนึ่งกองคาราวานนี้ก็น่าจะยาวเป็นหลายกิโลเมตรเลยละค่ะ พากันเดินเล็ดลอดตลอดเส้นทางมาได้ยังไง มันเหมือนฝันๆ เอาแต่มันเป็นจริง เดินรอนแรมผ่านป่ามาจริงอะไรจริงเลยค่ะ
(หากสหายท่านใดที่ร่วมชะตากรรมอยู่ในช่วงนี้ด้วย กรุณาเขียนเพิ่มเติมมาเข้ามาให้ก็จักขอบคุณมากนะคะ)
กองคาราวานนี้ประกอบด้วยสหายที่มาจากหลายกลุ่ม ซึ่งมาร่วมเดินทางไปพร้อมๆ กัน เพราะเมื่อถึงจุดแยกในเส้นทางบางแห่งสหายบางกลุ่มก็แยกทางไปค่ะ ส่วนเป้าหมายของกลุ่มที่ฉันร่วมเดินเกาะกันมาตลอดทางคือสำนัก 61 หรือ ต่อมาเป็นที่รู้จักในฐานะเป็นโรงเรียนการเมืองการทหารที่นักศึกษาปัญญาชนที่เข้าสู่ป่าเขาเกือบทุกคนต้องผ่านจากโรงเรียนนี้ค่ะ และฉันคาดเดาเอาเองว่า สำนักนี้น่าจะอยู่แถวๆเขตอำเภอปัว จ.น่าน ที่มีพรมแดนติดต่อกับทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศลาว (ทั้งหมดที่จะเขียนนี้ล้วนเป็นการคาดคะเนเองทั้งนั้น หากสหายที่ทราบดีเห็นว่าผิดกรุณาช่วยแก้ด้วยค่ะ)

ดังนั้นเองสำหรับคาราวานชุดนี้ มันคือการเดินเท้ารอนแรมจากเขตฐานที่มั่น 3 จังหวัด โดยผ่านเข้าเขตประเทศลาว เลียบเลาะไปจนถึงหลวงพระบางจากนั้นก็ต่อเส้นทางมาที่ปากแบ่ง ข้ามโขงที่นั่นแล้วจึงเดินเข้าเขต จ.น่าน (เส้นทางเดินน่าจะประมาณๆ ที่เห็นในแผนที่จำลองในภาพที่นำมาประกอบนี่ค่ะ) ทั้งหมดนี้ใช้เวลาแรมเดือนถ้าจำไม่ผิด

 เริ่มแรกเมื่อเตรียมเดินทาง พวกเราไม่รู้เลยว่าจะเดินไปที่ไหน คงจะเป็นมาตรการป้องกันการเสียลับ สหายจึงไม่ต้องรับรู้ว่าจะเดินไปไหนกัน รู้แต่ว่าต้องเดินทางตามผู้นำทางไปติ๊กๆ เท่านั้นเป็นพอค่ะ
ส่วนฉันก็เดินคิดมาตลอดทางว่า เราน่าจะได้เจอะเจอสามีในไม่ช้านี้ จะได้เจอกันเสียที น่าจะอยู่บนเส้นทางข้างหน้าที่เราจะไปถึง ยิ่งสาวเท้าไปข้างหน้า เราก็จะยิ่งได้ถึงจุดหมายปลายทางได้เร็ว ว่าแล้วก็สั่งตัวเองให้สาวเท้าไปๆอย่างเข้มแข็ง อย่าหยุดยั้งลังเล...

“เอางี้สิ เธอเขียนซีรี่ส์ใช้ชื่อว่า ...เดินทางหมื่นลี้ตามหาสามี...” สหายศัลยาพูดขึ้นมาในวันหนึ่ง ที่เกิดคิดอยากจะเขียนบันทึกการเดินทาง... ฉันหัวเราะแหะๆ และคิดในใจ พวกสหายเฟมินิสต์คงรับชื่อซีรี่ส์นี้มิได้ แต่ฉันตอนนั้นคงดูเหมือนใกล้สายป่านขาด... ฉันตอนนั้นเหมือนได้เก็บงำความคิดความเห็นสักล้านตันไว้ในใจที่อยากจะพูดอยากจะบอกค่ะ...

ฉันก้มหน้าก้มตาเดิน เดิน เดิน เจอทากเกาะก็เด็ดมันทิ้งไปโดยใช้ความเร็วในการเหวี่ยง จำได้ว่าคนที่บังเอิญเดินใกล้ๆ ฉันเป็นนักศึกษามาจากคณะวิทยาศาสตร์ไม่กลัวทาก เธอจับมันปลิ้นเอาเศษไม้เสียบขว้างทุกตัว เรียกขวัญได้มาก/

เส้นทางตอนข้ามไปฝั่งลาวแล้วเดินง่ายขึ้น ทางใหญ่ขึ้นแต่ก็เป็นเส้นทางที่เพิ่งตัดใหม่ เป็นดินลูกรังผ่านป่าไม้หนาทึบ มีหน่วยอ้ายน้องทหารปลดแอกประซาซนลาวเป็นผู้นำทาง ประเทศลาวตอนนั้นปลดแอกเรียบร้อยแล้วตั้งเป็นสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว อ้ายน้องที่เป็นหัวหน้านั่นสะพายปืนกลแม็กกระสุนโค้งยาวมันวับ แล้วตอนย่ำค่ำวันหนึ่งระหว่างที่สหายหยุดพักบริเวณวัดแห่งหนึ่ง เราก็สะดุ้งด้วยเสียงปืนกลรัวชุดใหญ่ ฉันมองขึ้นไปบนยอดไม้เพราะเสียงมันกังวานมาก สักครู่หนึ่งเราก็ได้รับแจ้งว่า สหายอ้ายน้องลาวใช้ปืนกลยิงทากค่ะ ทากที่คอยเกาะดูดเลือดเรามาตลอดทางนี่แหละ... บางคนบอกว่า ยิงเสียบ้างเดี๋ยวกระสุนไม่ได้ใช้ค่ะ...โอ...ยิงทากนั่นเอง...//

เส้นทางนี้ยังอีกยาวไกลไหมหนอ... ฉันนึกในใจขณะพยายามหลับตาลงอย่างยากเย็นในค่ำคืนนั้น...///

Monday, October 13, 2014

อันเนื่องมาจาก “กรณี 6 ตุลา”... รำลึกชีวิตที่รอนแรมในขบวนการต่อสู้ (5)

ไร่นาเขียวขจี... ธงแดงโบกพลิ้ว...
ฉันรู้สึกเกรงใจขณะเดียวกันก็ขอบคุณสหายในป่า ผู้ที่เอื้ออำนวยให้กับการเดินทางลงจากภูเขาของฉันและสหายที่เป็นคนสำคัญอีกสองคน คือสหายวิทยา (คุณเสถียร) และสหายศัลยา (ภรรยาคุณเสถียร) เพราะมันไม่ใช่เป็นเรื่องที่ง่ายๆ แต่อย่างใดเลย กลับรู้สึกถึงความซับซ้อนยิ่งกว่าตอนเดินทางขึ้นไปเสียอีก ถ้าจำไม่ผิดก็เป็นช่วงปลายๆ ของการล้อมปราบ และมีการเตรียมตัวให้สหายบางส่วนเดินทางกลับไปยังค่ายเดิมบ้างแล้ว
ฉันรู้สึกเห็นใจคนที่อยู่ในตำแหน่งที่เป็นสหายนำในป่าขณะนั้นเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากจะต้องรับมือความยากลำบากที่เกิดจากสถานการณ์ตึงเครียดโดยเฉพาะด้านความปลอดภัยแล้ว ยังต้องพยายามแก้ปัญหาความไม่ลงรอยกันระหว่างสหายเองภายในสำนักอีกด้วย เหล่าสหายผู้นำเองก็มาจากสายจัดตั้งต่างสายที่มีแนวความคิดการจัดการปัญหาปัญญาชนที่แตกต่างกัน บรรดานักศึกษาปัญญาชนก็ไม่คุ้นเคยกับ “กฎเหล็ก” ของพรรค เพราะเดาว่าส่วนใหญ่เป็นมวลชนผู้รักประชาธิปไตย ยังไม่ได้เข้าจัดตั้งเป็น “ย” เป็น “ส” เป็นผู้ที่ต้องการเสรีภาพและความเท่าเทียม เกลียดเผด็จการที่ออกคำสั่งซ้ายหันขวาหัน ดังนั้น เมื่อต้องเข้ามาอยู่ในบรรยากาศที่มีกรอบมีกฎ แถมยังลำบาก อยู่ได้สักพักก็ปรี๊ดแตกกันไปตามๆ
ระหว่างที่เดินทางจากมา ฉันคิดถึงสหายพวกเราหลายๆ คนที่ยังอยู่บนภูเขา นึกอยู่ในใจว่าสหายเหล่านี้ในที่สุดก็จะต้องเดินทางออกมาเหมือนกับฉัน สถานที่ของเหล่าผู้ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยจากในเมืองนั้น ไม่ใช่ในป่าอย่างที่ฉันเห็นมาแน่นอน... แต่ภายใต้สถานการณ์ในประเทศไทยขณะนั้น มันบีบบังคับเหมาเทกระจาดไล่ทุกคนที่ต่อสู้ให้ไปตกคลั่กอยู่ในป่าทั้งหมด เป็นความผิดพลาดทางยุทธศาสตร์ครั้งสำคัญของผู้มีอำนาจในเมืองไทยขณะนั้น เพราะเค้ากวาดไล่ปัญญาชนและนักศึกษาที่เก่งๆ ออกไปอยู่กับฝ่ายตรงข้ามกับตัวเองหมด แล้วเริ่มโปรแกรมสร้างชาติให้ถอยไปข้างหลัง...
การเดินทางผ่านกรุงเทพฯ ของฉันในครั้งนั้นเกือบไม่มีความหมายอะไรเลย ...สิ่งที่ฉันอยากได้มากที่สุดคือได้แวะหาลูก ได้กอดลูกสักครั้ง ได้เห็นหน้าลูก  หรือกระทั่งผ่านหน้าบ้านมองเข้าไปในบ้านสักครั้ง...
ได้รับคำตอบว่า เป็นไปไม่ได้เลย เพราะบ้านของเรายังถูกเฝ้าติดตามอยู่...
ฉันรู้สึกไม่มีทางเลือก สถานการณ์ต่างๆ ยังไม่เอื้ออำนวยให้ฉันได้ใช้ชีวิตปกติในเมือง ไม่แม้สักนิด ฉันไม่กล้าติดต่อใครเลยแม้แต่ญาติพี่น้องของฉันเอง เพราะฉันกลัวว่าพวกเขาจะพากันเดือดร้อนเพราะฉัน และตอนนั้นฉันยังไม่รู้ว่าสามีอยู่ที่ไหน คิดว่าเค้าน่าจะอยู่ในเขตปลดปล่อยที่ใดที่หนึ่งในภาคเหนือ
สถานีวิทยุเสียงประชาชนแห่งประเทศไทย ยังคงออกอากาศอย่างเข้มข้น และมีการเปลี่ยนโฆษกใหม่เป็นเสียงเพื่อนของเราที่เข้าไปที่นั่นก่อนหน้าแล้ว มีการแต่งเพลงใหม่ๆ มาออกอากาศเป็นระยะๆ... รวมทั้งเพลงที่ร้องกันในขบวนการต่อสู้ตั้งแต่ครั้ง 14 ตุลา หลายเพลง ที่ขับร้องโดยนักร้องใหม่ที่เข้าไปจากในเมือง
เนื้อหาในบางเพลงบอกว่า พรรคคอมมิวนิสต์มีฐานที่มั่นอยู่ทางภาคเหนือ เช่นถ้าจำไม่ผิดมีเพลงร้องว่า...
“ไร่นาเขียวขจี... ธงแดงโบกพลิ้ว...” เอ้อ.. รู้สึกเหมือนตอบโจทย์ว่าเราน่าจะได้ไปที่นี่ ...มีไร่นาเขียวขจีด้วย...
ตามประสาคนนอกจัดตั้ง ที่ไม่ได้รับรู้ข่าวสารมากนัก ฉันจำต้องเดินทางต่อไปหลังจากพักอยู่ในที่ปิดลับเพียงสองสามวัน มีสหายในเมืองพาไปซื้อข้าวของที่จำเป็น เช่นเสื้อผ้ารองเท้าถุงเท้าชุดชั้นใน ฯลฯ
ครั้งนั้นจำได้ว่า ฉันได้บอกกับสหายในเมืองที่มาช่วยเรื่องการเดินทางของเราว่า ฉันอยากได้รูปถ่ายของลูกมากที่สุด ซึ่งสหายท่านนั้นก็รับปากว่าจะจัดการให้ฉันได้รูปถ่ายของลูก ฉันขอบคุณเขาและรู้สึกดีใจจนน้ำตาคลอ
และแล้วเราทั้งสามคนผู้เพิ่งไต่ลงมาจากเทือกเขาบรรทัดทางภาคใต้ ก็ตัดสินใจเดินทางต่อเพื่อไต่ขึ้นสู่เขตการเคลื่อนไหว (หรือที่เรียกขานกันว่าเป็น “ฐานที่มั่น”) ของคอมมิวนิสต์ไทยบนเทือกเขาในภาคเหนือต่อไปอีกคำรพหนึ่ง

เราขึ้นเหนือจากกรุงเทพฯโดยรถตู้ ฉันนั่งรถมาเงียบๆ แต่ในหัวของฉันมีเสียงเพลงดังอยู่ไกลๆ จำได้แต่ว่า... ไร่นาเขียวขจี... ธงแดงโบกพลิ้ว... เป็นไงก็เป็นกัน เพราะตัวเราก็เท่านี้///

Sunday, October 12, 2014

อันเนื่องมาจาก “กรณี 6 ตุลา”... รำลึกชีวิตที่รอนแรมในขบวนการต่อสู้ (4)

อยู่แนวหน้าตาสว่างโพลง

 ฉันได้รับการฝึกเช่นเดียวกับนักศึกษาปัญญาชนคนอื่นๆ คือฝึกท่าบังคับพื้นฐานแบบทหารคืบคลานกลิ้งตัวไปมา และสุดท้ายได้ฝึกยิงปืนถ้าจำไม่ผิดใช้ปืนอาก้า ซึ่งทั้งหมดฉันว่าฉันสอบตกหมดทุกกระบวน กลิ้งตัวเสร็จนอนมึนงง... ยิงปืนก็หลุดเป้าหายไปหมด... เพราะมือสั่นใจเต้นอย่างแรง แต่สหายก็ดีใจหาย หลังจากนั้นก็ให้ฉันคาดปืนพกไว้ที่เอว ซึ่งฉันไม่เคยแตะมันเลยยกเว้นตอนที่เค้าสอนให้ถอดมาเช็ดล้าง และสมองไม่จำไว้เลยว่าปืนพกนี้อยู่กับฉันนานเท่าไหร่
ฉันเดินรอนแรมอยู่บนเทือกเขาบรรทัดที่สามารถเดินต่อเนื่องถึงนครศรีธรรมราชได้ โดยเฉพาะช่วงที่โดนล้อมปราบ ต้องอพยพโยกย้ายรอนแรมพักค้างตามป่าแถบเทือกเขาที่มีอากาศเย็นแบบชุ่มชื้น และมักมีฝนตกเสมอๆ เวลากางเต้นต้องไม่ลืมขุดคูน้ำไหลไว้รอบๆ เต้นนอน และคืนที่อากาศสบายก็นอนชมยอดไม้เลย บางครั้งเวลานอนเรียงๆ กันเป็นตับ ใครได้นอนริมก็หวาดหวั่นกลัวเสือมาจู่โจม เวลาลุกเดินไปทำธุระก็ต้องจดจำทิศทางดีๆ อาจหลงกลับมาที่เดิมไม่ได้ เพราะมันมืดมากเหมือนหลับตาเดิน... ฉันเคยหลงกลับมานอนที่เดิมไม่ถูกงงสะเปะสะปะอยู่เป็นนานเลย
(เกี่ยวกับสถานที่ที่เรารอนแรมอยู่ในป่าที่ภาคใต้นานเกือบปีนั้น สามารถหาอ่านจากข้อเขียนที่เต็มไปด้วยอรรถรสได้จากหนังสือ “รอยเท้าบนปุยเมฆ” ของเสถียร จันทิมาธร รวมทั้งหนังสือที่ชื่อ “ลมพัดชายเขา” เขียนโดย “นิมิต ศัลยา” หรือพี่จิ๋มภรรยาของคุณเสถียรนั่นเอง นอกจากนั้น ยังมีอีกหลายเล่มที่เพื่อนๆ หลายคนที่เข้าไปได้เขียนไว้นานแล้วค่ะ)
สหายเก่าที่อยู่มาก่อนมักมีเรื่องเล่ามากมายมาเล่าให้เราฟังอย่างมีชีวิตชีวา... ทำให้เราได้รับรู้ความเป็นมาเป็นไปของชีวิตทหารป่าของประชาชนได้เป็นอย่างดี ทำให้ฉันเริ่มเข้าใจคำว่า “ช่องว่าง” ความห่างไกลกันทางความนึกคิด ความเข้าใจ อารมณ์ความรู้สึก การศึกษาวัฒนธรรม วิถีการดำเนินชีวิต หรือชีวิตทางวัตถุของคนในเมืองกับในชนบท และเริ่มรู้สึกว่า การหลั่งไหลอย่างไม่ขาดสายของนักศึกษาปัญญาชนคนหนุ่มสาวเข้าสู่ป่าเขาแบบนี้ เป็นการสร้างความเครียดให้กับ “ป่า” อย่างเลี่ยงไม่ได้ และในไม่ช้านานนักช่วงเวลาแห่งการดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ก็จะต้องหมดไปเป็นธรรมดา...
นักศึกษาปัญญาชนเกือบทั้งหมด รวมทั้งฉันด้วย คือผลพวงของการเร่งรัดพัฒนาประเทศตามแผนพัฒนาที่เริ่มมาตั้งแต่ต้นทศวรรษ พ.ศ. 2500 นับแต่ยุคจอมพลสฤษดิ์เป็นต้นมา การพัฒนาที่ต่อเนื่องมาประมาณ 2 ทศวรรษ เศรษฐกิจได้ขยายตัวก้าวหน้ามีการกระจายรายได้ไปสู่ประชาชนในวงกว้างขึ้น คนจากชนบทจำนวนมากได้อพยพเข้ามาทำมาหากินในเมือง มีชีวิตฐานะดีขึ้น สามารถส่งเสียคนรุ่นลูกหลานให้มีการศึกษาที่สูงขึ้น ดังนั้น การปฏิวัติประชาธิปไตยโดยมีนักศึกษาปัญญาชนซึ่งเป็นคนรุ่นลูกหลานของประชาชนเหล่านี้เป็นหัวหอกแบบ “กรณี 14 ตุลา 2516” จึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ...
ไม่ช้านานนักความขัดแย้งในป่าก็ปะทุขึ้นในทุกปริมณฑล ตอนนั้นอยากบอกว่า... ไม่ต้องมาล้อมปราบยิงปืนครกใส่ หรือเอาเครื่องบินอะไรไม่รู้ลำเบ้อเริ่มมาทิ้งระเบิดใส่ก็ได้... แค่เงื่อนไขความไม่ลงตัวภายในขบวนเองที่เกิดขึ้นในช่วงนั้น ก็สามารถทำให้ “ป่าแตก” ได้แล้ว (ความจริงแล้วฉันไม่รู้อะไรเลยมองและคิดไปตามประสา “คนนอกจัดตั้ง” เท่านั้น)
พร้อมๆ กับที่ฉันเริ่มตาสว่าง และเริ่มมองเห็นว่าที่นี่ไม่น่าจะใช่สิ่งและสภาพที่อยู่ในความใฝ่ฝันของคนหนุ่มสาวจากในเมือง ที่ต่อสู้กับเผด็จการเรียกร้องการปกครองแบบประชาธิปไตย เรียกร้องให้มีรัฐธรรมนูญ ให้มีการปกครองโดยรัฐธรรมนูญกันอย่างเอาเป็นเอาตาย... ฉันเริ่มบอกตัวเองว่า ที่นี่ยังไม่ใช่สังคมใหม่ที่ก้าวหน้าแต่เป็นในทางตรงกันข้าม กลับถอยหลังไปหลายยุค สังคมใหม่ ประเทศไทยใหม่ยังไม่เกิดและจะยังไม่มีขึ้นมาได้อย่างง่ายๆ เหมือนที่เพ้อฝันเอาเอง...
ในเดือนที่ 4-5-6 และเดือนที่ 7 ที่ฉันใช้ชีวิตเดินแบกสัมภาระขึ้นเขา แล้วลงห้วยแล้วปีนขึ้นเขาอีก... พลัน...เราก็ได้รับคำสั่งจาก “จัดตั้ง” (ไหนก็ไม่รู้) ให้สหายวิทยา สหายศัลยา (ภรรยาคุณเสถียร) และฉัน... เดินทางขึ้นเหนือ....

ฉันได้เดินทางออกจากเขตเคลื่อนไหวของคอมมิวนิสต์จังหวัดสุราษฎร์ธานีเพื่อขึ้นเหนือ โดยผ่านกรุงเทพฯ เมื่อราวกลางปี พ.ศ. 2520 ...พร้อมๆ กับตาที่เริ่มสว่างโพลงขึ้นอย่างเงียบเชียบ///

Thursday, October 9, 2014

อันเนื่องมาจาก “กรณี 6 ตุลา”... รำลึกชีวิตที่รอนแรมในขบวนการต่อสู้ (2)

โอ้ – ในที่สุดก็ได้พบแล้ว-ทหารของประชาชน

การเดินทางเข้าเขตการเคลื่อนไหวของคอมมิวนิสต์ เป็นเหตุการณ์เรื่องราวหลากรสชาติที่ “อยากลืมกลับจำ” จริงๆ ค่ะ ยิ่งเป็นอะไรที่ต้องปิดลับๆ ล่อๆ มีการส่งสัญญาณรูปแบบต่างๆ ราวกับอยู่ในหนังแอคชั่นสนั่นโรง / น่าตื่นเต้นค่ะ
หลายคนอาจจะเขียนถึงไว้บ้างแล้ว... เพื่อนๆ ที่เข้าไปที่เดียวกันคงผ่านอะไรเหมือนๆ กันนะคะ ส่วนเพื่อนที่ไม่ได้ผ่านตรงนี้มา พยายามหลับตานึกถึงภาพตามนี้เลยค่ะ
(1) ภาพรถไฟสายใต้ตั๋วชั้นสามขบวนรถนั่งตลอดถึงที่หมายเช้าพอดี แต่ที่นั่งไม่มีๆ แม้แต่ที่ให้หยั่งเท้าลงไป ขอแค่ข้างเดียวก็ยังยาก แถมเรายังหอบหิ้วสัมภาระสิ่งของมาไม่น้อย โดยเฉพาะผ้าห่มนอนสำลีนุ่มหนาสีชมพูผืนใหญ่คนละผืน ก็หาที่วางแสนยาก ฉันโชคดีช่วงหนึ่งมีโอกาสได้หย่อนก้นลงบนที่เท้าแขนของเก้าอี้ที่มีคนนั่งซ้อนทับกันอยู่อย่างเต็มพื้นที่ พอได้หลับนก (ฮูก) ไปนิดหน่อย นี่คงเป็นเพราะต้องการปิดลับลวงพลางให้เรากลมกลืนไปกับมวลชนอันไพศาลนั่นเอง
(2) ภาพสถานีรถไฟปลายทางและชายหนุ่มร่างกำยำที่ขี่มอเตอร์ไบค์เก่งที่สุดในสามโลก หลังจากส่งสัญญาณจนแน่ใจว่าใช่เราแน่แล้ว ก็สามารถพาเราซ้อนท้ายขี่ฉวัดเฉวียนผ่านทางเกวียนทางวัวทางควายไม่มีทางเป็นป่าดิบรกทึบ ขึ้นเนินลงเนินที่เป็นดินเหนียวน้ำแฉะลื่นกว่ากระดานลื่นเด็กเล่น รวมทั้งผ่านหล่มหลุมบ่อโคลนเละตุ้มเป๊ะขนาดควายนอนแช่ไปได้อย่างง่ายดาย ถึงจุดหมายปลายทางอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าของเทพเจ้าซุสแห่งเทือกเขาโอลิมปัสฟาดเปรี้ยงเดียวถึงที่เลยค่ะ ฉันตะคริว (แดก เอ้ย/ กิน เอ๊/ รับประทานสิ) ขาเพราะมันหลุดจากที่วางด้านข้างแล้วเอากลับขึ้นมาอีกไม่ได้เลย ถึงแล้วโล่งใจไม่ว่ากัน ยกนิ้วให้ด้วยขอบคุณค่ะ แต่ไม่กล้าบุ่มบ่ามให้ทิป
(3) ภาพบ้านมวลชนพื้นราบที่น่ารักสุดแสน ที่ให้เราเข้าห้องน้ำอาบน้ำชำระกายเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ ผลัดชุดเก่าที่มอมแมมมะล็อกมะแล็กออกไป และที่สำคัญให้เรารับประทานอาหารเช้าด้วยเมนูอาหารท้องถิ่นสไตล์โฮมสเตย์ เป็นอาหารปักษ์ใต้มื้อแรกที่อร่อยที่สุดเท่าที่เคยทานมา คุณน้าพูดคุยกับเราด้วยน้ำเสียงเบา และราบเรียบ ช่วยปลอบประโลมให้เราหายตื่นเต้นตกใจได้อย่างมาก เสร็จแล้วจึงมีชายวัยกลางคน น่าจะเป็นสหายจากค่ายที่รับมอบหมายมาพาเราเดินขึ้นเขานั่นเอง
(4) ภาพเส้นทางเดินลดเลี้ยวเคี้ยวคดที่มีแต่ขึ้น เราเดินตามคุณลุงไปเรื่อยๆ เหมือนจะไม่มีวันสิ้นสุด เดินไปคุยไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก คุณลุงท่าทางสุขุมใจเย็นไม่รีบร้อน และแสดงความเมตตาเห็นอกเห็นใจเราที่ไม่คุ้นเคยกับการเดินขึ้นเขาเช่นนี้ตลอดทาง
(5) ภาพทหารป่า หลังจากเดินไปเป็นนานสองนาน ประมาณสองสามชั่วโมงการเดินในอัตราความเร็วที่น่าจะต่ำลงเรื่อยๆ ขณะที่คืบคลานสูงขึ้นเรื่อยๆ สัมผัสได้จากไอเย็นและความชื้นรวมทั้งต้นไม้ที่หนาทึบขึ้น ถึงตอนหนึ่งเราอดรนทนไม่ไหว เลยขอถามคุณลุงเรื่องทหารป่าว่า เราจะได้พบเจอพวกเขาไหม ที่ไหนอย่างไร คุณลุงก็บอกว่า อ้อ/ สหายก็ได้พบพวกเขาเรื่อยๆ อยู่แล้ว หากอยู่ที่ราบก็อาจจะแยกไม่ออก คนที่ขี่มอเตอร์ไบค์มาส่งเราก็อาจจะใช่ //โอ้ // จริงเหรือนี่!
“เดี๋ยวก็เจอ แถวๆ นี้ก็มีนะ” คุณลุงบอก เพราะ “นี่ก็เกือบถึงค่ายแล้วครั่บ”
โอ้โฮ! ฉันตื่นเต้นตูมตามมาก อยากได้เห็นเป็นขวัญตาสักหน่อย จะเท่ห์เหมือนที่เราเคยเห็นในภาพยนตร์ไหม จะเหมือนแบบ “เช” (เช เกวาร่า) นายแพทย์นักปฏิวัติชาวอาร์เจนติน่า ที่เป็นไอดอลคนหนึ่งของพวกฝ่ายซ้ายไหมหนอ???
เดินตามกันมาอีกสักพัก คุณลุงก็ส่งสัญญาณว่ามีนักรบของเรายืนอยู่บริเวณหลังต้นไม้ใหญ่ ห่างจากเราไปสักสี่ห้าเมตร ลุงตะโกนส่งภาษาใต้ความหมายว่าสหายมาจากในเมือง อยากทักทาย โหย... เราจ้องไปที่แมกไม้นั้นตาไม่กระพริบเลย ใจเต้นตุ๊บๆ เห็นเงาแว่บๆ ของสุภาพบุรุษนายหนึ่ง ดูเหมือนจะสะพายปืนยาวไว้บนไหล่ ...เมื่อได้ยินเสียงลุง เขาก็ค่อยๆ โผล่ออกมาจากแมกไม้โบกมือทัก หุ่นล่ำสันผิวคล้ำตัวไม่สูงนัก เผยให้เห็นมัดกล้ามบนแผงไหล่และแผ่นอกชัดเจนมาก

ที่เห็นรายละเอียดชัดเจนก็เพราะว่า... นักรบของประชาชนท่านนี้เค้าไม่ได้ใส่เสื้ออยู่นั่นเอง/ 
น่ารักสุดๆค่ะ//

อันเนื่องมาจากกรณี 6 ตุลา... รำลึกชีวิตที่รอนแรมในขบวนการต่อสู้ (1)

สามีมุ่งสู่แนวหลัง ส่วนฉัน...มีคนส่งขึ้นรถไฟไปแนวหน้า...

หลังจากผ่านมา 38 ปี ปีนี้ 2557 เพื่อนพ้องน้องพี่หลายคนอยากให้เขียนเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับฉันและสามี หลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 อย่างน้อยก็เป็นการบันทึกเหตุการณ์เรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงกับเราในช่วงเวลาดังกล่าว ไม่ให้มันขาดหายไป หรืออยู่ในเงามืดจนตายไปพร้อมกับเรา (ซึ่งตอนนี้ก็ชรามากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว...) ก็เลยตัดสินใจจะเขียนเล่าตามมุมมองและความทรงจำของตนเอง... ย้ำ... เขียนเล่าตามมุมมองและความทรงจำของฉันที่อาจลางเลือนไปบ้างแล้วเท่านั้นนะคะ

.........
ในวันที่เกิดกรณี 6 ตุลาคม ปี พ.ศ. 2519 ฉันและคุณอนุชสามีโบกมือบ๋ายบายลูกน้อยที่นั่งอยู่บนตักพี่เลี้ยง ถอยรถออกจากบ้านไปทำงานตามปกติ คุณอนุช แวะส่งฉันที่ออฟฟิศแถวสี่แยกพญาไท แล้วตัวเองก็ขับต่อไปที่ออฟฟิศของตัวเองเหมือนทุกวัน ตอนนั้นฉันทำงานประจำกองบรรณาธิการฝ่ายข่าวต่างประเทศ หนังสือพิมพ์ประชาชาติรายวัน (ที่ต้องปิดตัวเองไปหลังกรณี 6 ตุลา เพราะเป็นหนึ่งในหนังสือพิมพ์ที่ถูกเพ่งเล็ง คู่ๆ กับหนังสือพิมพ์ประชาธิปไตยที่สามีของฉันทำงานอยู่ในตอนนั้น ซึ่งก็ถูกปิดไปด้วยเช่นกัน) เจ้าของประชาชาติขณะนั้นคือคุณขรรค์ชัย บุนปาน นั่นเอง
พอถึงออฟฟิศ ฉันได้เห็นภาพสะเทือนขวัญผ่านทางรายงานข่าวโทรทัศน์ รวมทั้งมีการเคลื่อนไหวแปลกๆ มีคนหน้าตาแปลกๆ เข้ามาในสำนักงาน หลายคนจับกลุ่มพูดคุยกันในบรรยากาศเครียดๆ
สักพักก็มีคนมาบอกว่า สถานการณ์ไม่ดี ต้องออกจากออฟฟิศแต่ห้ามกลับไปที่บ้าน เพราะจะมีการกวาดล้าง (ซึ่งฉันทราบภายหลังว่า มีเจ้าหน้าที่ไปถึงที่บ้านมาตามหาตัวคุณอนุชโดยบอกที่บ้านว่าจะพาตัวไป “ช่วยชาติ” และได้ขนเอาหนังสือในห้องสมุดที่บ้านไปเป็นคันรถ จนบัดนี้ก็ไม่ได้เอามาคืน ส่วนใหญ่เป็นหนังสือสะสมที่ซื้อหาจากงานออกร้านขายหนังสือบ้านเรานี่เอง เช่น งานรวมของเลนิน เป็นชุดใหญ่ปกแข็งอย่างดี เป็นต้น ในวันนั้นคุณแม่ตกใจถึงกับเป็นลมไป)
จากออฟฟิศมีคนมาพาฉัน และคุณเสถียร (จันทิมาธร) ซึ่งมีตำแหน่งใหญ่อยู่ที่นี่ด้วย ไปหลบอยู่ที่บ้านหลังหนึ่งย่านชานเมือง ต่อมามีสมาชิกเข้ามาร่วมอีกคนคือ คุณพรพิไล เลิศวิชา หรือ “สหายนที” (ซึ่งต่อมาเราก็เดินทางไปไหนไปกันสามคนจนถึงแนวหน้า) ที่บ้านหลังนี้มีคนส่งข้าวส่งน้ำให้เรา ตอนกลางวันอยู่ในบ้านเคลื่อนไหวเงียบเชียบ ห้ามพูดคุยออกเสียง ไม่ใช้ชักโครก เพื่อให้ดูเหมือนไม่มีคนอยู่ในบ้าน เราหลบซ่อนอย่างเงียบเชียบอยู่ที่นี่ประมาณ 1 สัปดาห์ ไม่ค่อยรู้ข่าวอะไร ได้ยินกระเส็นกระสายว่ามีการติดตามจับกุมผู้คนที่ถูกหมายหัวว่าเป็น “ซ้าย” ไปมากมาย มีการเอาหนังสือฝ่ายซ้ายซึ่งได้รับการตีพิมพ์ออกมาจำนวนมากในช่วงหลังกรณี 14 ตุลา 2516 มากองสุมแล้วจุดไฟเผา เผา เผา จนวอดวาย
ฉันได้รับทราบในภายหลังว่า หลังจากมีคนพาฉันและคุณเสถียรออกจากออฟฟิศได้ไม่นาน สามีของฉันก็ขับรถมาที่นั่น เราไม่เจอกัน ทราบจากการบอกเล่าของคนที่ดูแลกลุ่มพวกเราที่บ้านหลบภัยว่า คุณอนุช ปลอดภัยแล้ว เท่านั้นฉันก็เบาใจโล่งใจบอกไม่ถูก เพราะฉันรู้ว่าสามีถูกเพ่งเล็งและมีสันติบาลเฝ้าติดตามเขาอยู่ตลอด ในช่วงนั้นเขาเป็นคนเขียนบทนำให้กับหนังสือพิมพ์ประชาธิปไตย และหลังจากนั้นก็ทราบข่าวว่าเขาได้เดินทางเข้าป่าทางภาคเหนือเพื่อไปสู่แนวหลัง
ส่วนฉัน (พร้อมทั้งคุณเสถียรและคุณพรพิไล) หลังจากหลบอยู่ในบ้านนั้นประมาณ 1 สัปดาห์ ก็มีคนพาไปขึ้นรถไฟสายใต้มุ่งสู่แนวหน้า เขตการเคลื่อนไหวของคอมมิวนิสต์ถ้าจำไม่ผิดคืออยู่ในเขตอำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่มีเพื่อนของเราที่เคยทำงานด้วยกันใน กทม. ล่วงหน้าเข้าไปก่อนแล้ว
ตอนนั้น ฉันรู้สึกตื่นเต้นมากตามประสาพวกโลกสวย มโนเอาว่าเราจะได้เห็นทหารของประชาชน เป็นความหวังใหม่ โอ...เราจะได้สังคมใหม่ประเทศไทยใหม่ที่ไม่มีเผด็จการอีกแล้ว ทุกคนจะเสมอภาคเท่าเทียมกัน สังคมที่ก้าวหน้าจะบังเกิดขึ้นแล้ว....

ช่างอ่อนหัดและไร้เดียงสาเสียนี่กระไรเลย///