Thursday, October 9, 2014

อันเนื่องมาจากกรณี 6 ตุลา... รำลึกชีวิตที่รอนแรมในขบวนการต่อสู้ (1)

สามีมุ่งสู่แนวหลัง ส่วนฉัน...มีคนส่งขึ้นรถไฟไปแนวหน้า...

หลังจากผ่านมา 38 ปี ปีนี้ 2557 เพื่อนพ้องน้องพี่หลายคนอยากให้เขียนเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับฉันและสามี หลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 อย่างน้อยก็เป็นการบันทึกเหตุการณ์เรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงกับเราในช่วงเวลาดังกล่าว ไม่ให้มันขาดหายไป หรืออยู่ในเงามืดจนตายไปพร้อมกับเรา (ซึ่งตอนนี้ก็ชรามากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว...) ก็เลยตัดสินใจจะเขียนเล่าตามมุมมองและความทรงจำของตนเอง... ย้ำ... เขียนเล่าตามมุมมองและความทรงจำของฉันที่อาจลางเลือนไปบ้างแล้วเท่านั้นนะคะ

.........
ในวันที่เกิดกรณี 6 ตุลาคม ปี พ.ศ. 2519 ฉันและคุณอนุชสามีโบกมือบ๋ายบายลูกน้อยที่นั่งอยู่บนตักพี่เลี้ยง ถอยรถออกจากบ้านไปทำงานตามปกติ คุณอนุช แวะส่งฉันที่ออฟฟิศแถวสี่แยกพญาไท แล้วตัวเองก็ขับต่อไปที่ออฟฟิศของตัวเองเหมือนทุกวัน ตอนนั้นฉันทำงานประจำกองบรรณาธิการฝ่ายข่าวต่างประเทศ หนังสือพิมพ์ประชาชาติรายวัน (ที่ต้องปิดตัวเองไปหลังกรณี 6 ตุลา เพราะเป็นหนึ่งในหนังสือพิมพ์ที่ถูกเพ่งเล็ง คู่ๆ กับหนังสือพิมพ์ประชาธิปไตยที่สามีของฉันทำงานอยู่ในตอนนั้น ซึ่งก็ถูกปิดไปด้วยเช่นกัน) เจ้าของประชาชาติขณะนั้นคือคุณขรรค์ชัย บุนปาน นั่นเอง
พอถึงออฟฟิศ ฉันได้เห็นภาพสะเทือนขวัญผ่านทางรายงานข่าวโทรทัศน์ รวมทั้งมีการเคลื่อนไหวแปลกๆ มีคนหน้าตาแปลกๆ เข้ามาในสำนักงาน หลายคนจับกลุ่มพูดคุยกันในบรรยากาศเครียดๆ
สักพักก็มีคนมาบอกว่า สถานการณ์ไม่ดี ต้องออกจากออฟฟิศแต่ห้ามกลับไปที่บ้าน เพราะจะมีการกวาดล้าง (ซึ่งฉันทราบภายหลังว่า มีเจ้าหน้าที่ไปถึงที่บ้านมาตามหาตัวคุณอนุชโดยบอกที่บ้านว่าจะพาตัวไป “ช่วยชาติ” และได้ขนเอาหนังสือในห้องสมุดที่บ้านไปเป็นคันรถ จนบัดนี้ก็ไม่ได้เอามาคืน ส่วนใหญ่เป็นหนังสือสะสมที่ซื้อหาจากงานออกร้านขายหนังสือบ้านเรานี่เอง เช่น งานรวมของเลนิน เป็นชุดใหญ่ปกแข็งอย่างดี เป็นต้น ในวันนั้นคุณแม่ตกใจถึงกับเป็นลมไป)
จากออฟฟิศมีคนมาพาฉัน และคุณเสถียร (จันทิมาธร) ซึ่งมีตำแหน่งใหญ่อยู่ที่นี่ด้วย ไปหลบอยู่ที่บ้านหลังหนึ่งย่านชานเมือง ต่อมามีสมาชิกเข้ามาร่วมอีกคนคือ คุณพรพิไล เลิศวิชา หรือ “สหายนที” (ซึ่งต่อมาเราก็เดินทางไปไหนไปกันสามคนจนถึงแนวหน้า) ที่บ้านหลังนี้มีคนส่งข้าวส่งน้ำให้เรา ตอนกลางวันอยู่ในบ้านเคลื่อนไหวเงียบเชียบ ห้ามพูดคุยออกเสียง ไม่ใช้ชักโครก เพื่อให้ดูเหมือนไม่มีคนอยู่ในบ้าน เราหลบซ่อนอย่างเงียบเชียบอยู่ที่นี่ประมาณ 1 สัปดาห์ ไม่ค่อยรู้ข่าวอะไร ได้ยินกระเส็นกระสายว่ามีการติดตามจับกุมผู้คนที่ถูกหมายหัวว่าเป็น “ซ้าย” ไปมากมาย มีการเอาหนังสือฝ่ายซ้ายซึ่งได้รับการตีพิมพ์ออกมาจำนวนมากในช่วงหลังกรณี 14 ตุลา 2516 มากองสุมแล้วจุดไฟเผา เผา เผา จนวอดวาย
ฉันได้รับทราบในภายหลังว่า หลังจากมีคนพาฉันและคุณเสถียรออกจากออฟฟิศได้ไม่นาน สามีของฉันก็ขับรถมาที่นั่น เราไม่เจอกัน ทราบจากการบอกเล่าของคนที่ดูแลกลุ่มพวกเราที่บ้านหลบภัยว่า คุณอนุช ปลอดภัยแล้ว เท่านั้นฉันก็เบาใจโล่งใจบอกไม่ถูก เพราะฉันรู้ว่าสามีถูกเพ่งเล็งและมีสันติบาลเฝ้าติดตามเขาอยู่ตลอด ในช่วงนั้นเขาเป็นคนเขียนบทนำให้กับหนังสือพิมพ์ประชาธิปไตย และหลังจากนั้นก็ทราบข่าวว่าเขาได้เดินทางเข้าป่าทางภาคเหนือเพื่อไปสู่แนวหลัง
ส่วนฉัน (พร้อมทั้งคุณเสถียรและคุณพรพิไล) หลังจากหลบอยู่ในบ้านนั้นประมาณ 1 สัปดาห์ ก็มีคนพาไปขึ้นรถไฟสายใต้มุ่งสู่แนวหน้า เขตการเคลื่อนไหวของคอมมิวนิสต์ถ้าจำไม่ผิดคืออยู่ในเขตอำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่มีเพื่อนของเราที่เคยทำงานด้วยกันใน กทม. ล่วงหน้าเข้าไปก่อนแล้ว
ตอนนั้น ฉันรู้สึกตื่นเต้นมากตามประสาพวกโลกสวย มโนเอาว่าเราจะได้เห็นทหารของประชาชน เป็นความหวังใหม่ โอ...เราจะได้สังคมใหม่ประเทศไทยใหม่ที่ไม่มีเผด็จการอีกแล้ว ทุกคนจะเสมอภาคเท่าเทียมกัน สังคมที่ก้าวหน้าจะบังเกิดขึ้นแล้ว....

ช่างอ่อนหัดและไร้เดียงสาเสียนี่กระไรเลย///

No comments:

Post a Comment