Showing posts with label นักศึกษาปัญญาชน. Show all posts
Showing posts with label นักศึกษาปัญญาชน. Show all posts

Thursday, October 16, 2014

อันเนื่องมาจาก “กรณี 6 ตุลา”... รำลึกชีวิตที่รอนแรมในขบวนการต่อสู้ (8)

เดินทางต่อ...ตกสวรรค์ (แอ้ก!)

ฉันพักอยู่ที่เขตฐานที่มั่นเขตรอยต่อสามจังหวัดเพียงไม่กี่วัน ก็มีกำหนดการเดินทางต่อค่ะ...!
ขอบคุณภาพจากเน็ตค่ะ
การเดินทางครั้งนี้อลังการงานสร้างมากมาย จัดเป็นกองคาราวานใหญ่ที่คิดๆ ดูเหมือนกับการเย้ยฟ้าท้าดินอย่างแรงเลย เพราะหากเดินเรียงหนึ่งกองคาราวานนี้ก็น่าจะยาวเป็นหลายกิโลเมตรเลยละค่ะ พากันเดินเล็ดลอดตลอดเส้นทางมาได้ยังไง มันเหมือนฝันๆ เอาแต่มันเป็นจริง เดินรอนแรมผ่านป่ามาจริงอะไรจริงเลยค่ะ
(หากสหายท่านใดที่ร่วมชะตากรรมอยู่ในช่วงนี้ด้วย กรุณาเขียนเพิ่มเติมมาเข้ามาให้ก็จักขอบคุณมากนะคะ)
กองคาราวานนี้ประกอบด้วยสหายที่มาจากหลายกลุ่ม ซึ่งมาร่วมเดินทางไปพร้อมๆ กัน เพราะเมื่อถึงจุดแยกในเส้นทางบางแห่งสหายบางกลุ่มก็แยกทางไปค่ะ ส่วนเป้าหมายของกลุ่มที่ฉันร่วมเดินเกาะกันมาตลอดทางคือสำนัก 61 หรือ ต่อมาเป็นที่รู้จักในฐานะเป็นโรงเรียนการเมืองการทหารที่นักศึกษาปัญญาชนที่เข้าสู่ป่าเขาเกือบทุกคนต้องผ่านจากโรงเรียนนี้ค่ะ และฉันคาดเดาเอาเองว่า สำนักนี้น่าจะอยู่แถวๆเขตอำเภอปัว จ.น่าน ที่มีพรมแดนติดต่อกับทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศลาว (ทั้งหมดที่จะเขียนนี้ล้วนเป็นการคาดคะเนเองทั้งนั้น หากสหายที่ทราบดีเห็นว่าผิดกรุณาช่วยแก้ด้วยค่ะ)

ดังนั้นเองสำหรับคาราวานชุดนี้ มันคือการเดินเท้ารอนแรมจากเขตฐานที่มั่น 3 จังหวัด โดยผ่านเข้าเขตประเทศลาว เลียบเลาะไปจนถึงหลวงพระบางจากนั้นก็ต่อเส้นทางมาที่ปากแบ่ง ข้ามโขงที่นั่นแล้วจึงเดินเข้าเขต จ.น่าน (เส้นทางเดินน่าจะประมาณๆ ที่เห็นในแผนที่จำลองในภาพที่นำมาประกอบนี่ค่ะ) ทั้งหมดนี้ใช้เวลาแรมเดือนถ้าจำไม่ผิด

 เริ่มแรกเมื่อเตรียมเดินทาง พวกเราไม่รู้เลยว่าจะเดินไปที่ไหน คงจะเป็นมาตรการป้องกันการเสียลับ สหายจึงไม่ต้องรับรู้ว่าจะเดินไปไหนกัน รู้แต่ว่าต้องเดินทางตามผู้นำทางไปติ๊กๆ เท่านั้นเป็นพอค่ะ
ส่วนฉันก็เดินคิดมาตลอดทางว่า เราน่าจะได้เจอะเจอสามีในไม่ช้านี้ จะได้เจอกันเสียที น่าจะอยู่บนเส้นทางข้างหน้าที่เราจะไปถึง ยิ่งสาวเท้าไปข้างหน้า เราก็จะยิ่งได้ถึงจุดหมายปลายทางได้เร็ว ว่าแล้วก็สั่งตัวเองให้สาวเท้าไปๆอย่างเข้มแข็ง อย่าหยุดยั้งลังเล...

“เอางี้สิ เธอเขียนซีรี่ส์ใช้ชื่อว่า ...เดินทางหมื่นลี้ตามหาสามี...” สหายศัลยาพูดขึ้นมาในวันหนึ่ง ที่เกิดคิดอยากจะเขียนบันทึกการเดินทาง... ฉันหัวเราะแหะๆ และคิดในใจ พวกสหายเฟมินิสต์คงรับชื่อซีรี่ส์นี้มิได้ แต่ฉันตอนนั้นคงดูเหมือนใกล้สายป่านขาด... ฉันตอนนั้นเหมือนได้เก็บงำความคิดความเห็นสักล้านตันไว้ในใจที่อยากจะพูดอยากจะบอกค่ะ...

ฉันก้มหน้าก้มตาเดิน เดิน เดิน เจอทากเกาะก็เด็ดมันทิ้งไปโดยใช้ความเร็วในการเหวี่ยง จำได้ว่าคนที่บังเอิญเดินใกล้ๆ ฉันเป็นนักศึกษามาจากคณะวิทยาศาสตร์ไม่กลัวทาก เธอจับมันปลิ้นเอาเศษไม้เสียบขว้างทุกตัว เรียกขวัญได้มาก/

เส้นทางตอนข้ามไปฝั่งลาวแล้วเดินง่ายขึ้น ทางใหญ่ขึ้นแต่ก็เป็นเส้นทางที่เพิ่งตัดใหม่ เป็นดินลูกรังผ่านป่าไม้หนาทึบ มีหน่วยอ้ายน้องทหารปลดแอกประซาซนลาวเป็นผู้นำทาง ประเทศลาวตอนนั้นปลดแอกเรียบร้อยแล้วตั้งเป็นสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว อ้ายน้องที่เป็นหัวหน้านั่นสะพายปืนกลแม็กกระสุนโค้งยาวมันวับ แล้วตอนย่ำค่ำวันหนึ่งระหว่างที่สหายหยุดพักบริเวณวัดแห่งหนึ่ง เราก็สะดุ้งด้วยเสียงปืนกลรัวชุดใหญ่ ฉันมองขึ้นไปบนยอดไม้เพราะเสียงมันกังวานมาก สักครู่หนึ่งเราก็ได้รับแจ้งว่า สหายอ้ายน้องลาวใช้ปืนกลยิงทากค่ะ ทากที่คอยเกาะดูดเลือดเรามาตลอดทางนี่แหละ... บางคนบอกว่า ยิงเสียบ้างเดี๋ยวกระสุนไม่ได้ใช้ค่ะ...โอ...ยิงทากนั่นเอง...//

เส้นทางนี้ยังอีกยาวไกลไหมหนอ... ฉันนึกในใจขณะพยายามหลับตาลงอย่างยากเย็นในค่ำคืนนั้น...///

Sunday, October 12, 2014

อันเนื่องมาจาก “กรณี 6 ตุลา”... รำลึกชีวิตที่รอนแรมในขบวนการต่อสู้ (4)

อยู่แนวหน้าตาสว่างโพลง

 ฉันได้รับการฝึกเช่นเดียวกับนักศึกษาปัญญาชนคนอื่นๆ คือฝึกท่าบังคับพื้นฐานแบบทหารคืบคลานกลิ้งตัวไปมา และสุดท้ายได้ฝึกยิงปืนถ้าจำไม่ผิดใช้ปืนอาก้า ซึ่งทั้งหมดฉันว่าฉันสอบตกหมดทุกกระบวน กลิ้งตัวเสร็จนอนมึนงง... ยิงปืนก็หลุดเป้าหายไปหมด... เพราะมือสั่นใจเต้นอย่างแรง แต่สหายก็ดีใจหาย หลังจากนั้นก็ให้ฉันคาดปืนพกไว้ที่เอว ซึ่งฉันไม่เคยแตะมันเลยยกเว้นตอนที่เค้าสอนให้ถอดมาเช็ดล้าง และสมองไม่จำไว้เลยว่าปืนพกนี้อยู่กับฉันนานเท่าไหร่
ฉันเดินรอนแรมอยู่บนเทือกเขาบรรทัดที่สามารถเดินต่อเนื่องถึงนครศรีธรรมราชได้ โดยเฉพาะช่วงที่โดนล้อมปราบ ต้องอพยพโยกย้ายรอนแรมพักค้างตามป่าแถบเทือกเขาที่มีอากาศเย็นแบบชุ่มชื้น และมักมีฝนตกเสมอๆ เวลากางเต้นต้องไม่ลืมขุดคูน้ำไหลไว้รอบๆ เต้นนอน และคืนที่อากาศสบายก็นอนชมยอดไม้เลย บางครั้งเวลานอนเรียงๆ กันเป็นตับ ใครได้นอนริมก็หวาดหวั่นกลัวเสือมาจู่โจม เวลาลุกเดินไปทำธุระก็ต้องจดจำทิศทางดีๆ อาจหลงกลับมาที่เดิมไม่ได้ เพราะมันมืดมากเหมือนหลับตาเดิน... ฉันเคยหลงกลับมานอนที่เดิมไม่ถูกงงสะเปะสะปะอยู่เป็นนานเลย
(เกี่ยวกับสถานที่ที่เรารอนแรมอยู่ในป่าที่ภาคใต้นานเกือบปีนั้น สามารถหาอ่านจากข้อเขียนที่เต็มไปด้วยอรรถรสได้จากหนังสือ “รอยเท้าบนปุยเมฆ” ของเสถียร จันทิมาธร รวมทั้งหนังสือที่ชื่อ “ลมพัดชายเขา” เขียนโดย “นิมิต ศัลยา” หรือพี่จิ๋มภรรยาของคุณเสถียรนั่นเอง นอกจากนั้น ยังมีอีกหลายเล่มที่เพื่อนๆ หลายคนที่เข้าไปได้เขียนไว้นานแล้วค่ะ)
สหายเก่าที่อยู่มาก่อนมักมีเรื่องเล่ามากมายมาเล่าให้เราฟังอย่างมีชีวิตชีวา... ทำให้เราได้รับรู้ความเป็นมาเป็นไปของชีวิตทหารป่าของประชาชนได้เป็นอย่างดี ทำให้ฉันเริ่มเข้าใจคำว่า “ช่องว่าง” ความห่างไกลกันทางความนึกคิด ความเข้าใจ อารมณ์ความรู้สึก การศึกษาวัฒนธรรม วิถีการดำเนินชีวิต หรือชีวิตทางวัตถุของคนในเมืองกับในชนบท และเริ่มรู้สึกว่า การหลั่งไหลอย่างไม่ขาดสายของนักศึกษาปัญญาชนคนหนุ่มสาวเข้าสู่ป่าเขาแบบนี้ เป็นการสร้างความเครียดให้กับ “ป่า” อย่างเลี่ยงไม่ได้ และในไม่ช้านานนักช่วงเวลาแห่งการดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ก็จะต้องหมดไปเป็นธรรมดา...
นักศึกษาปัญญาชนเกือบทั้งหมด รวมทั้งฉันด้วย คือผลพวงของการเร่งรัดพัฒนาประเทศตามแผนพัฒนาที่เริ่มมาตั้งแต่ต้นทศวรรษ พ.ศ. 2500 นับแต่ยุคจอมพลสฤษดิ์เป็นต้นมา การพัฒนาที่ต่อเนื่องมาประมาณ 2 ทศวรรษ เศรษฐกิจได้ขยายตัวก้าวหน้ามีการกระจายรายได้ไปสู่ประชาชนในวงกว้างขึ้น คนจากชนบทจำนวนมากได้อพยพเข้ามาทำมาหากินในเมือง มีชีวิตฐานะดีขึ้น สามารถส่งเสียคนรุ่นลูกหลานให้มีการศึกษาที่สูงขึ้น ดังนั้น การปฏิวัติประชาธิปไตยโดยมีนักศึกษาปัญญาชนซึ่งเป็นคนรุ่นลูกหลานของประชาชนเหล่านี้เป็นหัวหอกแบบ “กรณี 14 ตุลา 2516” จึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ...
ไม่ช้านานนักความขัดแย้งในป่าก็ปะทุขึ้นในทุกปริมณฑล ตอนนั้นอยากบอกว่า... ไม่ต้องมาล้อมปราบยิงปืนครกใส่ หรือเอาเครื่องบินอะไรไม่รู้ลำเบ้อเริ่มมาทิ้งระเบิดใส่ก็ได้... แค่เงื่อนไขความไม่ลงตัวภายในขบวนเองที่เกิดขึ้นในช่วงนั้น ก็สามารถทำให้ “ป่าแตก” ได้แล้ว (ความจริงแล้วฉันไม่รู้อะไรเลยมองและคิดไปตามประสา “คนนอกจัดตั้ง” เท่านั้น)
พร้อมๆ กับที่ฉันเริ่มตาสว่าง และเริ่มมองเห็นว่าที่นี่ไม่น่าจะใช่สิ่งและสภาพที่อยู่ในความใฝ่ฝันของคนหนุ่มสาวจากในเมือง ที่ต่อสู้กับเผด็จการเรียกร้องการปกครองแบบประชาธิปไตย เรียกร้องให้มีรัฐธรรมนูญ ให้มีการปกครองโดยรัฐธรรมนูญกันอย่างเอาเป็นเอาตาย... ฉันเริ่มบอกตัวเองว่า ที่นี่ยังไม่ใช่สังคมใหม่ที่ก้าวหน้าแต่เป็นในทางตรงกันข้าม กลับถอยหลังไปหลายยุค สังคมใหม่ ประเทศไทยใหม่ยังไม่เกิดและจะยังไม่มีขึ้นมาได้อย่างง่ายๆ เหมือนที่เพ้อฝันเอาเอง...
ในเดือนที่ 4-5-6 และเดือนที่ 7 ที่ฉันใช้ชีวิตเดินแบกสัมภาระขึ้นเขา แล้วลงห้วยแล้วปีนขึ้นเขาอีก... พลัน...เราก็ได้รับคำสั่งจาก “จัดตั้ง” (ไหนก็ไม่รู้) ให้สหายวิทยา สหายศัลยา (ภรรยาคุณเสถียร) และฉัน... เดินทางขึ้นเหนือ....

ฉันได้เดินทางออกจากเขตเคลื่อนไหวของคอมมิวนิสต์จังหวัดสุราษฎร์ธานีเพื่อขึ้นเหนือ โดยผ่านกรุงเทพฯ เมื่อราวกลางปี พ.ศ. 2520 ...พร้อมๆ กับตาที่เริ่มสว่างโพลงขึ้นอย่างเงียบเชียบ///

Saturday, October 11, 2014

อันเนื่องมาจาก “กรณี 6 ตุลา”... รำลึกชีวิตที่รอนแรมในขบวนการต่อสู้ (3)

สำหรับตัวเอง...ฉันสั่งมันว่าให้เข้มแข็ง

ขอบคุณภาพจาก Pinterest
ฉันใช้ชีวิตอยู่ในค่ายที่มีชื่อว่า “บี 5” เขตอำเภอพุนพินจังหวัดสุราษฎร์ธานี พร้อมๆ กับนักศึกษาปัญญาชนอีกจำนวนไม่น้อยที่พากันค่อยๆ หลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสาย มีการเข้าแถวปรบมือต้อนรับสหายใหม่กันอยู่เป็นระยะๆ
ชีวิตในค่ายอยู่กินนอนแบบทหารป่า กินเป็นเวลานอนเป็นเวลาตื่นเป็นเวลา ใช้เสียงนกหวีดเป็นสัญญาณ ฉันคิดว่าค่ายบี 5 นี้ ทางสหายจัดให้สำหรับต้อนรับนักศึกษาปัญญาชนจากในเมืองโดยตรง ดังนั้นในช่วงแรกกิจกรรมด้านการทหารล้วนๆ จึงมีให้เห็นไม่มากนักค่ะ ส่วนใหญ่ของเวลาจึงใช้ไปกับกิจกรรมการหาอยู่หากิน ทำงานปลูกข้าวไร่ตามเชิงเขา เก็บข้าวเก็บพริกถั่วพูหัวมันสำปะหลัง หยวกกล้วยผักกูดผักหวานที่ขึ้นตามริมลำห้วยลำธารเชิงเขา เดินขึ้นเขาเข้าที่พัก ลงเขาไปกินข้าวไปอาบน้ำไปเก็บผัก จนหลายคน เช่น คุณเสถียร หรือสหายวิทยาที่ฉันเห็นเขาลุกขึ้นมากวาดลานที่พักทุกเช้า ได้ผอมสะโอดสะองราวกับเป็นคนละคนกับตอนอยู่ในเมือง
ตอนย่ำค่ำก็มีการประชุมเล่าข่าวทั้งในและต่างประเทศ ฉันในฐานะที่เคยทำงานด้านข่าวต่างประเทศ ก็เลยได้รับมอบหมายให้มีส่วนในการรวบรวมข่าวต่างประเทศเพื่อเอามาเล่าบอกสหายในค่าย จากนั้นทุกคนร่วมกันฟังวิทยุเสียงประชาชนแห่งประเทศไทย ที่เป็นวิทยุคลื่นสั้นของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ออกอากาศจากที่ใดที่หนึ่งในมณฑลยูนนานประเทศจีน จากนั้นมีเซสชั่นคล้ายเปิดใจสหายที่อาจเรียกว่าการวิจารณ์วิจารณ์ตนเอง แล้วมีสหายนำในค่ายกล่าวตอบเชิงปลุกระดมชูกำปั้นสร้างขวัญกำลังใจตบท้ายด้วย “..จงเจริญๆ”  แล้วแยกย้ายกันไปนอน
(ในการรวบรวมข่าวสาร ฉันใช้วิธีการฟังและจดบันทึกข่าวที่รับฟังผ่านวิทยุคลื่นสั้นจากทั่วโลก เช่น บีบีซี วีโอเอ ออสเตรเลีย วิทยุปักกิ่ง วิทยุมอสโกทั้งภาคภาษาไทย-ภาษาอังกฤษ และวิทยุของชาติอื่นๆ ที่ออกอากาศเป็นภาษาอังกฤษ รวมทั้งร่วมกับสหายสองสามคนจัดทำกระดานข่าวเพื่อให้สหายได้ติดตามข่าวสารต่างๆ แต่ไม่นานนักขณะที่กระดานข่าวเริ่มคึกคักเป็นที่สนใจในหมู่สหายในค่ายมากขึ้น... “จัดตั้ง” ก็มีมติสั่งให้เลิกไปค่ะ)
ระยะปรับตัวของฉันคือ 3 เดือนแรกกินไม่ได้ นอนไม่หลับ พอหลับตาลงก็เหมือนได้ยินเสียงเด็กร้อง – คิดถึงลูกเหลือเกิน (ผักกาดตอนนั้นเพิ่งอายุ 1 ปี 4 เดือน และเพิ่งเริ่มพูดได้สองพยางค์) ลูกจะร้องไห้จะร้อนจะหนาวอย่างไรไม่รู้เลย และบางครั้งก็ต้องลุกขึ้นกระโดดลงหลุมหลบภัยกลางดึกเมื่อได้ยินเสียงหวีดหวิวของปืนครกที่ถูกยิงมาจากค่ายทหารที่อยู่บริเวณพื้นราบ ตอนนั้นฉันอายุประมาณ 27 ปี ประจำเดือนหยุดหายไปเลยค่ะ มาอีกทีรู้สึกตอนอยู่ทางเหนือแล้ว
ขอบคุณภาพจากอินเทอร์เน็ตค่ะ
ฉันใช้เวลาสั้นๆ ก่อนเข้านอนทุกคืน บางครั้งก็จุดตะเกียงดวงเล็กๆ ถ้าหากค่ายดับไฟหมดแล้ว เขียนบันทึกที่คิดในใจว่า เมื่อเจอกับสามีก็จะได้เอาให้อ่านว่าเราได้ใช้ชีวิตอย่างไรระหว่างที่พรากจากกัน (น่าเสียดายที่บันทึกเล่มนั้นไม่ได้รับอนุญาตให้นำออกนอกค่ายมาด้วย เพราะกลัวเสียลับ ต้องเผาทิ้งก่อนที่จะอำลาจากค่าย บี 5)  และก็สวดมนต์ภาวนาขอให้คุณพระคุณเจ้าคุ้มครองลูกและทุกคนที่อยู่ข้างหลังให้รอดปลอดภัย สำหรับตัวเองฉันสั่งมันว่าให้เข้มแข็ง รักษาตัวให้ดี ทำตัวให้เป็นภาระแก่คนอื่นน้อยที่สุด ในยามทุกข์จะได้สามารถช่วยเหลือคนอื่นได้บ้าง ...
(สำหรับลูกที่ยังเล็กของฉัน ได้ทราบภายหลังว่า ญาติพี่น้องได้มาช่วยเหลือจุนเจือ มีคุณอาที่ใกล้ชิดคอยบอกเล่าถึงวีรกรรมของพ่อแม่ที่อยู่ต่างแดนให้ฟัง เปิดวิทยุเสียงประชาชนให้ฟังและสอนร้องเพลงปฏิวัติให้ด้วย มีคุณย่ามาช่วยกล่อมนอน คุณปู่ช่วยสอนหนังสือ รวมทั้งมีพี่เลี้ยงคือ “ป้าพิณ” ที่โอบอุ้มและดูแลเขาแทนแม่ และอีกหลายคนในบ้านขณะนั้นที่มีส่วนช่วยกล่อมเกลาให้เธอเติบโตขึ้นเป็นหญิงที่เข้มแข็งแกร่งกล้าในปัจจุบัน รู้สึกตื้นตันและขอบคุณอย่างหาที่สุดมิได้)
เพียง 3 เดือน น้ำหนักของฉันหายไปประมาณ 10 กิโล กางเกงที่ใส่อยู่ทุกตัวหลวมหลุดหมด โชคดีที่ทางค่ายมีเสื้อผ้าชุดสีเขียวแบบทหารให้ใส่แทน
หลังจากการรอนแรมในป่าเขา แบกเป้/แบกเสบียงขึ้นเขาลงห้วยวันละหลายสิบกิโล และสูดอากาศภูเขาที่บริสุทธิ์ชุ่มชื้นเข้าปอดอย่างแรงๆตลอด แม้ว่าตอนแรกๆ หลายครั้งที่มันทำให้ขาฉันสั่น มือเย็น อ่อนแรง ยกขาไม่ขึ้น ก้าวเท้าไม่พ้นรากไม้ ล้มคว่ำหน้าอกครูดเชิงเขานับครั้งไม่ถ้วน มองอะไรก็ไม่ค่อยเห็นชัดเพราะสหายแนะนำให้ถอดแว่นตาออกด้วยเกรงว่าจะสะท้อนแสงทำให้เสียลับ... แต่ในที่สุดเมื่อเวลาผ่านไปๆ ฉันก็รู้สึกว่าร่างกายได้ปรับตัวแล้ว ไขมันเปลี่ยนไปกลายเป็นมัดกล้าม และมีการเคลื่อนไหวที่ปราดเปรียวประดุจสมิงสาวในราวป่าขึ้นมาแล้ว (เว้ยเฮ้ย!)//

Thursday, October 9, 2014

อันเนื่องมาจากกรณี 6 ตุลา... รำลึกชีวิตที่รอนแรมในขบวนการต่อสู้ (1)

สามีมุ่งสู่แนวหลัง ส่วนฉัน...มีคนส่งขึ้นรถไฟไปแนวหน้า...

หลังจากผ่านมา 38 ปี ปีนี้ 2557 เพื่อนพ้องน้องพี่หลายคนอยากให้เขียนเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับฉันและสามี หลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 อย่างน้อยก็เป็นการบันทึกเหตุการณ์เรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงกับเราในช่วงเวลาดังกล่าว ไม่ให้มันขาดหายไป หรืออยู่ในเงามืดจนตายไปพร้อมกับเรา (ซึ่งตอนนี้ก็ชรามากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว...) ก็เลยตัดสินใจจะเขียนเล่าตามมุมมองและความทรงจำของตนเอง... ย้ำ... เขียนเล่าตามมุมมองและความทรงจำของฉันที่อาจลางเลือนไปบ้างแล้วเท่านั้นนะคะ

.........
ในวันที่เกิดกรณี 6 ตุลาคม ปี พ.ศ. 2519 ฉันและคุณอนุชสามีโบกมือบ๋ายบายลูกน้อยที่นั่งอยู่บนตักพี่เลี้ยง ถอยรถออกจากบ้านไปทำงานตามปกติ คุณอนุช แวะส่งฉันที่ออฟฟิศแถวสี่แยกพญาไท แล้วตัวเองก็ขับต่อไปที่ออฟฟิศของตัวเองเหมือนทุกวัน ตอนนั้นฉันทำงานประจำกองบรรณาธิการฝ่ายข่าวต่างประเทศ หนังสือพิมพ์ประชาชาติรายวัน (ที่ต้องปิดตัวเองไปหลังกรณี 6 ตุลา เพราะเป็นหนึ่งในหนังสือพิมพ์ที่ถูกเพ่งเล็ง คู่ๆ กับหนังสือพิมพ์ประชาธิปไตยที่สามีของฉันทำงานอยู่ในตอนนั้น ซึ่งก็ถูกปิดไปด้วยเช่นกัน) เจ้าของประชาชาติขณะนั้นคือคุณขรรค์ชัย บุนปาน นั่นเอง
พอถึงออฟฟิศ ฉันได้เห็นภาพสะเทือนขวัญผ่านทางรายงานข่าวโทรทัศน์ รวมทั้งมีการเคลื่อนไหวแปลกๆ มีคนหน้าตาแปลกๆ เข้ามาในสำนักงาน หลายคนจับกลุ่มพูดคุยกันในบรรยากาศเครียดๆ
สักพักก็มีคนมาบอกว่า สถานการณ์ไม่ดี ต้องออกจากออฟฟิศแต่ห้ามกลับไปที่บ้าน เพราะจะมีการกวาดล้าง (ซึ่งฉันทราบภายหลังว่า มีเจ้าหน้าที่ไปถึงที่บ้านมาตามหาตัวคุณอนุชโดยบอกที่บ้านว่าจะพาตัวไป “ช่วยชาติ” และได้ขนเอาหนังสือในห้องสมุดที่บ้านไปเป็นคันรถ จนบัดนี้ก็ไม่ได้เอามาคืน ส่วนใหญ่เป็นหนังสือสะสมที่ซื้อหาจากงานออกร้านขายหนังสือบ้านเรานี่เอง เช่น งานรวมของเลนิน เป็นชุดใหญ่ปกแข็งอย่างดี เป็นต้น ในวันนั้นคุณแม่ตกใจถึงกับเป็นลมไป)
จากออฟฟิศมีคนมาพาฉัน และคุณเสถียร (จันทิมาธร) ซึ่งมีตำแหน่งใหญ่อยู่ที่นี่ด้วย ไปหลบอยู่ที่บ้านหลังหนึ่งย่านชานเมือง ต่อมามีสมาชิกเข้ามาร่วมอีกคนคือ คุณพรพิไล เลิศวิชา หรือ “สหายนที” (ซึ่งต่อมาเราก็เดินทางไปไหนไปกันสามคนจนถึงแนวหน้า) ที่บ้านหลังนี้มีคนส่งข้าวส่งน้ำให้เรา ตอนกลางวันอยู่ในบ้านเคลื่อนไหวเงียบเชียบ ห้ามพูดคุยออกเสียง ไม่ใช้ชักโครก เพื่อให้ดูเหมือนไม่มีคนอยู่ในบ้าน เราหลบซ่อนอย่างเงียบเชียบอยู่ที่นี่ประมาณ 1 สัปดาห์ ไม่ค่อยรู้ข่าวอะไร ได้ยินกระเส็นกระสายว่ามีการติดตามจับกุมผู้คนที่ถูกหมายหัวว่าเป็น “ซ้าย” ไปมากมาย มีการเอาหนังสือฝ่ายซ้ายซึ่งได้รับการตีพิมพ์ออกมาจำนวนมากในช่วงหลังกรณี 14 ตุลา 2516 มากองสุมแล้วจุดไฟเผา เผา เผา จนวอดวาย
ฉันได้รับทราบในภายหลังว่า หลังจากมีคนพาฉันและคุณเสถียรออกจากออฟฟิศได้ไม่นาน สามีของฉันก็ขับรถมาที่นั่น เราไม่เจอกัน ทราบจากการบอกเล่าของคนที่ดูแลกลุ่มพวกเราที่บ้านหลบภัยว่า คุณอนุช ปลอดภัยแล้ว เท่านั้นฉันก็เบาใจโล่งใจบอกไม่ถูก เพราะฉันรู้ว่าสามีถูกเพ่งเล็งและมีสันติบาลเฝ้าติดตามเขาอยู่ตลอด ในช่วงนั้นเขาเป็นคนเขียนบทนำให้กับหนังสือพิมพ์ประชาธิปไตย และหลังจากนั้นก็ทราบข่าวว่าเขาได้เดินทางเข้าป่าทางภาคเหนือเพื่อไปสู่แนวหลัง
ส่วนฉัน (พร้อมทั้งคุณเสถียรและคุณพรพิไล) หลังจากหลบอยู่ในบ้านนั้นประมาณ 1 สัปดาห์ ก็มีคนพาไปขึ้นรถไฟสายใต้มุ่งสู่แนวหน้า เขตการเคลื่อนไหวของคอมมิวนิสต์ถ้าจำไม่ผิดคืออยู่ในเขตอำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่มีเพื่อนของเราที่เคยทำงานด้วยกันใน กทม. ล่วงหน้าเข้าไปก่อนแล้ว
ตอนนั้น ฉันรู้สึกตื่นเต้นมากตามประสาพวกโลกสวย มโนเอาว่าเราจะได้เห็นทหารของประชาชน เป็นความหวังใหม่ โอ...เราจะได้สังคมใหม่ประเทศไทยใหม่ที่ไม่มีเผด็จการอีกแล้ว ทุกคนจะเสมอภาคเท่าเทียมกัน สังคมที่ก้าวหน้าจะบังเกิดขึ้นแล้ว....

ช่างอ่อนหัดและไร้เดียงสาเสียนี่กระไรเลย///