Showing posts with label เดือนตุลา. Show all posts
Showing posts with label เดือนตุลา. Show all posts

Saturday, October 11, 2014

อันเนื่องมาจาก “กรณี 6 ตุลา”... รำลึกชีวิตที่รอนแรมในขบวนการต่อสู้ (3)

สำหรับตัวเอง...ฉันสั่งมันว่าให้เข้มแข็ง

ขอบคุณภาพจาก Pinterest
ฉันใช้ชีวิตอยู่ในค่ายที่มีชื่อว่า “บี 5” เขตอำเภอพุนพินจังหวัดสุราษฎร์ธานี พร้อมๆ กับนักศึกษาปัญญาชนอีกจำนวนไม่น้อยที่พากันค่อยๆ หลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสาย มีการเข้าแถวปรบมือต้อนรับสหายใหม่กันอยู่เป็นระยะๆ
ชีวิตในค่ายอยู่กินนอนแบบทหารป่า กินเป็นเวลานอนเป็นเวลาตื่นเป็นเวลา ใช้เสียงนกหวีดเป็นสัญญาณ ฉันคิดว่าค่ายบี 5 นี้ ทางสหายจัดให้สำหรับต้อนรับนักศึกษาปัญญาชนจากในเมืองโดยตรง ดังนั้นในช่วงแรกกิจกรรมด้านการทหารล้วนๆ จึงมีให้เห็นไม่มากนักค่ะ ส่วนใหญ่ของเวลาจึงใช้ไปกับกิจกรรมการหาอยู่หากิน ทำงานปลูกข้าวไร่ตามเชิงเขา เก็บข้าวเก็บพริกถั่วพูหัวมันสำปะหลัง หยวกกล้วยผักกูดผักหวานที่ขึ้นตามริมลำห้วยลำธารเชิงเขา เดินขึ้นเขาเข้าที่พัก ลงเขาไปกินข้าวไปอาบน้ำไปเก็บผัก จนหลายคน เช่น คุณเสถียร หรือสหายวิทยาที่ฉันเห็นเขาลุกขึ้นมากวาดลานที่พักทุกเช้า ได้ผอมสะโอดสะองราวกับเป็นคนละคนกับตอนอยู่ในเมือง
ตอนย่ำค่ำก็มีการประชุมเล่าข่าวทั้งในและต่างประเทศ ฉันในฐานะที่เคยทำงานด้านข่าวต่างประเทศ ก็เลยได้รับมอบหมายให้มีส่วนในการรวบรวมข่าวต่างประเทศเพื่อเอามาเล่าบอกสหายในค่าย จากนั้นทุกคนร่วมกันฟังวิทยุเสียงประชาชนแห่งประเทศไทย ที่เป็นวิทยุคลื่นสั้นของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ออกอากาศจากที่ใดที่หนึ่งในมณฑลยูนนานประเทศจีน จากนั้นมีเซสชั่นคล้ายเปิดใจสหายที่อาจเรียกว่าการวิจารณ์วิจารณ์ตนเอง แล้วมีสหายนำในค่ายกล่าวตอบเชิงปลุกระดมชูกำปั้นสร้างขวัญกำลังใจตบท้ายด้วย “..จงเจริญๆ”  แล้วแยกย้ายกันไปนอน
(ในการรวบรวมข่าวสาร ฉันใช้วิธีการฟังและจดบันทึกข่าวที่รับฟังผ่านวิทยุคลื่นสั้นจากทั่วโลก เช่น บีบีซี วีโอเอ ออสเตรเลีย วิทยุปักกิ่ง วิทยุมอสโกทั้งภาคภาษาไทย-ภาษาอังกฤษ และวิทยุของชาติอื่นๆ ที่ออกอากาศเป็นภาษาอังกฤษ รวมทั้งร่วมกับสหายสองสามคนจัดทำกระดานข่าวเพื่อให้สหายได้ติดตามข่าวสารต่างๆ แต่ไม่นานนักขณะที่กระดานข่าวเริ่มคึกคักเป็นที่สนใจในหมู่สหายในค่ายมากขึ้น... “จัดตั้ง” ก็มีมติสั่งให้เลิกไปค่ะ)
ระยะปรับตัวของฉันคือ 3 เดือนแรกกินไม่ได้ นอนไม่หลับ พอหลับตาลงก็เหมือนได้ยินเสียงเด็กร้อง – คิดถึงลูกเหลือเกิน (ผักกาดตอนนั้นเพิ่งอายุ 1 ปี 4 เดือน และเพิ่งเริ่มพูดได้สองพยางค์) ลูกจะร้องไห้จะร้อนจะหนาวอย่างไรไม่รู้เลย และบางครั้งก็ต้องลุกขึ้นกระโดดลงหลุมหลบภัยกลางดึกเมื่อได้ยินเสียงหวีดหวิวของปืนครกที่ถูกยิงมาจากค่ายทหารที่อยู่บริเวณพื้นราบ ตอนนั้นฉันอายุประมาณ 27 ปี ประจำเดือนหยุดหายไปเลยค่ะ มาอีกทีรู้สึกตอนอยู่ทางเหนือแล้ว
ขอบคุณภาพจากอินเทอร์เน็ตค่ะ
ฉันใช้เวลาสั้นๆ ก่อนเข้านอนทุกคืน บางครั้งก็จุดตะเกียงดวงเล็กๆ ถ้าหากค่ายดับไฟหมดแล้ว เขียนบันทึกที่คิดในใจว่า เมื่อเจอกับสามีก็จะได้เอาให้อ่านว่าเราได้ใช้ชีวิตอย่างไรระหว่างที่พรากจากกัน (น่าเสียดายที่บันทึกเล่มนั้นไม่ได้รับอนุญาตให้นำออกนอกค่ายมาด้วย เพราะกลัวเสียลับ ต้องเผาทิ้งก่อนที่จะอำลาจากค่าย บี 5)  และก็สวดมนต์ภาวนาขอให้คุณพระคุณเจ้าคุ้มครองลูกและทุกคนที่อยู่ข้างหลังให้รอดปลอดภัย สำหรับตัวเองฉันสั่งมันว่าให้เข้มแข็ง รักษาตัวให้ดี ทำตัวให้เป็นภาระแก่คนอื่นน้อยที่สุด ในยามทุกข์จะได้สามารถช่วยเหลือคนอื่นได้บ้าง ...
(สำหรับลูกที่ยังเล็กของฉัน ได้ทราบภายหลังว่า ญาติพี่น้องได้มาช่วยเหลือจุนเจือ มีคุณอาที่ใกล้ชิดคอยบอกเล่าถึงวีรกรรมของพ่อแม่ที่อยู่ต่างแดนให้ฟัง เปิดวิทยุเสียงประชาชนให้ฟังและสอนร้องเพลงปฏิวัติให้ด้วย มีคุณย่ามาช่วยกล่อมนอน คุณปู่ช่วยสอนหนังสือ รวมทั้งมีพี่เลี้ยงคือ “ป้าพิณ” ที่โอบอุ้มและดูแลเขาแทนแม่ และอีกหลายคนในบ้านขณะนั้นที่มีส่วนช่วยกล่อมเกลาให้เธอเติบโตขึ้นเป็นหญิงที่เข้มแข็งแกร่งกล้าในปัจจุบัน รู้สึกตื้นตันและขอบคุณอย่างหาที่สุดมิได้)
เพียง 3 เดือน น้ำหนักของฉันหายไปประมาณ 10 กิโล กางเกงที่ใส่อยู่ทุกตัวหลวมหลุดหมด โชคดีที่ทางค่ายมีเสื้อผ้าชุดสีเขียวแบบทหารให้ใส่แทน
หลังจากการรอนแรมในป่าเขา แบกเป้/แบกเสบียงขึ้นเขาลงห้วยวันละหลายสิบกิโล และสูดอากาศภูเขาที่บริสุทธิ์ชุ่มชื้นเข้าปอดอย่างแรงๆตลอด แม้ว่าตอนแรกๆ หลายครั้งที่มันทำให้ขาฉันสั่น มือเย็น อ่อนแรง ยกขาไม่ขึ้น ก้าวเท้าไม่พ้นรากไม้ ล้มคว่ำหน้าอกครูดเชิงเขานับครั้งไม่ถ้วน มองอะไรก็ไม่ค่อยเห็นชัดเพราะสหายแนะนำให้ถอดแว่นตาออกด้วยเกรงว่าจะสะท้อนแสงทำให้เสียลับ... แต่ในที่สุดเมื่อเวลาผ่านไปๆ ฉันก็รู้สึกว่าร่างกายได้ปรับตัวแล้ว ไขมันเปลี่ยนไปกลายเป็นมัดกล้าม และมีการเคลื่อนไหวที่ปราดเปรียวประดุจสมิงสาวในราวป่าขึ้นมาแล้ว (เว้ยเฮ้ย!)//

Sunday, October 16, 2011

เดือนตุลาคมนี่... จริงๆ เลย...!


...ว่าจะไม่คิดไม่เขียนอะไรทั้งสิ้น แต่ก็ไม่รู้ทำไมจึงต้องเขียนจนได้...

ทำไมนะชีวิตของเราจึงต้องมาเกี่ยวข้องกับเดือนตุลาคมอยู่เรื่อยๆ จนน่าเบื่อ ...

แต่ก็เอาเถอะนะ... เพื่อนๆ และผู้อ่านก็ทนอ่านกันหน่อยนะคะ ไหนๆ ก็ไหนๆ เพราะว่า...
ตุลาคมนี้...ไม่เหมือนก่อนๆ...

...นอกจากบรรยากาศจะขมุกขมัว ฝนก็เทลงมาเหมือนบ้าคลั่งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แถมเคราะห์ซ้ำกรรมซัด น้ำก็ดันท่วมบ้านเรือนผู้คนเดือนร้อนอย่างหนักหนาสาหัส ฉันเองก็กำลังต้องทรมานกับอาการหลังแข็งก้มยาก คอเคล็ด ขาและไหล่ปวดเมื่อย (จากการยกดึงลากกระสอบทรายที่หนักเกิน และแพงเกิน) มันเป็นเดือนตุลาคมที่เครียดมากๆ อยู่แล้ว...!

เจ้ายังงามสง่าสมศักดิ์ศรีของนางนวลขาว
แต่เดือนตุลาคมปีนี้ ฉันยังได้พบเรื่องที่ต้องยิ้มทั้งน้ำตาอีกด้วยค่ะ...
ก็จะไม่ยิ้มทั้งน้ำตาได้อย่างไร ในเมื่อมันได้เป็นเดือนที่ลูกคนโตของฉันกลับมา...
หลังจากที่ได้ออกไปบินท่องโลกภายนอกอยู่ 3 ปีกว่าๆ... ลูกกลับมาค่ะ...
ลูกนางนวลน้อยสีขาว... บินกลับมา... เติบโตขึ้นและยังงามสง่าสมศักดิ์ศรีของเจ้านางนวล...
สำรวจดูปีกหางยังอยู่ครบถ้วนและดูแข็งแรงกว่าเดิม พระได้คุ้มครองนกน้อยตัวนี้...

พักเหนื่อยก่อนที่บ้านของเรานะจ๊ะ...
การกลับมาสู่อ้อมแขนของกันและกันสำหรับลูกและครอบครัวของเรา เป็นสิ่งที่มีความหมาย...มีเรื่องราว... มันเป็น Moment of Truth ที่ตราตรึงอยู่ในชีวิตของเรา...
ภาพที่ยังตราตรึงในใจ... เป็นเงื่อนปมที่ไม่เคยคลี่คลายลบเลือนออกไปจากใจของฉัน... เมื่อเดือนตุลาคม... 35 ปีที่แล้ว ลูกคนนี้นั่งบนตักพี่เลี้ยง โบกมือให้พ่อกับแม่ขณะถอยรถออกจากบ้านไปทำงานตอนเช้าตามปกติ... โดยไม่มีใครคาดคิดว่า... จากเช้าวันนั้น... เราจะไม่ได้เห็นหน้ากันอีกเป็นเวลาเกือบ 5 ปีติดต่อกัน...
...นั่นเป็นเพียงเพราะว่า...ทั้งพ่อและแม่คิดว่าความเสมอภาคเท่าเทียมและสิทธิในการเลือกนั้นควรอยู่คู่กับมวลมนุษยชาติ... หาไม่แล้วการเกิดขึ้นของเราก็คือความว่างเปล่า...  

ณ ตรงนี้ ฉันยังต้องขอขอบคุณ คุณอา คุณปู่คุณย่า คุณลุงคุณป้าทั้งหลายของเธอ ที่เมตตาให้ความรักความอบอุ่น และเป็นกำลังใจอย่างสำคัญให้เธอสามารถรอคอยการกลับมาของพ่อแม่อย่างเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว... ขอขอบคุณ
จึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไม...ลูกคนนี้เธอจึงผูกพันกับพี่ป้าน้าอาประดุจดั่งพ่อแม่ของเธอ... และเราก็ยังต้องขอบคุณที่ทุกๆ ท่านไม่เคยทำให้เธอนั้นหมดศรัทธาต่อพ่อแม่ของตัวเอง...

...30 ปีมาแล้ว... ฉันไม่เคยลืมวินาทีเต็มตื้นที่ได้พบลูก... และที่มันไม่ใช่ความฝันที่จะหายไปเมื่อลืมตาตื่นขึ้นอีกต่อไป... นั่นคือการกลับสู่อ้อมแขนครั้งแรกของเราค่ะ! The Moment of Truth!

ครั้งนั้น แม้ฉันจะกลับมาอย่างนักรบที่ปราศจากเหรียญตรา... แต่ก็ไม่มีอะไรที่จะสำคัญสำหรับฉันมากไปกว่าที่ครอบครัวของเราได้กลับมาพร้อมหน้ากันอีกครั้ง...

ฉันนั้นเชื่อมั่นในครอบครัว เท่าๆ กับความเชื่อมั่นในประชาธิปไตย และสำนึกเสมอว่าตำแหน่งของแม่มีหน้าที่สำคัญในการรักษาครอบครัวเป็นอันดับแรก... นอกเหนือจากการทำงานอาชีพหรือสิ่งที่รักที่ชอบ...

 ตุลาคมนี้ไม่เหมือนก่อนจริงๆ ลูกของฉันกลับมา และกำลังจะโผบินอย่างสง่างามขึ้นสู่ท้องฟ้าอีกครั้งหนึ่งด้วยปีกที่แข็งแรง และใจที่แกร่งกล้าและมั่นคงแน่วแน่กว่าเดิม...

จงบินไปดั่งที่ใจปรารถนา...
และจงรู้ไว้...ไม่ว่ายามสุขหรือทุกข์ จะยังมีตัวตนของแม่หรือไม่มีแล้วก็ตาม... ใจที่รักลูกจะยังอยู่เช่นนี้เสมอไป...
...