โรงเรียนการเมืองการทหารสำนัก 61
อันเลื่องลือ...
![]() |
ขอบคุณภาพหญิงชาวลั๊วะจากอินเทอร์เน็ตค่ะ |
มาถึงวันนี้
ฉันยังอยากจะกล่าวคำว่าขอโทษและขอบคุณ “สำนัก 61” ที่สามารถรับมือกับนักเรียน (โข่ง) ที่เสียคิดมาจากในเมืองอย่างฉันจนกระทั่งตลอดรอดฝั่งไปได้...
โดยเฉพาะในการโน้มน้าวให้ฉันเต็มใจเข้าเป็นนักเรียน “รุ่นแรก” ณ โรงเรียนการเมืองการทหารแห่งนี้ซึ่งกินเวลาประมาณ
6-8 เดือน... ฉันเสียคิดเมื่อฉันได้รับรู้จากสหายที่เจอกันที่กลางทางว่า
ฉันยังจะต้องมาเข้าโรงเรียนก่อน เพราะนั่นมันทำให้ใจของฉันที่บินเตลิดล่วงหน้าไปไกลแล้ว
หมดแรงร่วงลงกลางทางอย่างสิ้นท่า...นั่นเอง... ฉันรู้ว่า ณ
เวลานั้นมีคนน้อยมากที่จะเข้าใจภาวะจิตใจของฉัน ทุกคนก็จะมองว่าฉันเป็นผู้ใหญ่แล้วและก็มักจะคิดว่าฉันควรจะเรียกร้องตัวเองมากกว่าคนอื่นๆ
แต่ทุกคนก็ลืมไปว่าฉันไม่มีฐานะอะไรในองค์กรจัดตั้งของพรรคคอมมิวนิสต์
ฉันไม่คุ้นเคยกับ “จัดตั้ง” อะไรพวกนั้นเท่าไหร่เลย...
อย่างไรก็ดี ฉันก็ได้ใช้ความพยายามซ่อมสายป่านของตนมาตลอดทางก่อนถึงสำนัก...
แต่เมื่อฉันได้มาถึงสำนัก
เมื่อฉันได้พบกับสหายอาวุโสที่เป็นเจ้าสำนัก ซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นคนภาคกลางพูดสำเนียงเสียงเบาสุภาพมาก
แว่บหนึ่ง/ สหายท่านนั้นทำให้ฉันคิดถึงบิดาของตัวเองอย่างมาก “สหายต้องเข้าโรงเรียนสักหน่อยนะ
ทุกคนก็ควรต้องผ่านจากที่นี่เหมือนๆ กันก่อน ใช้เวลาไม่เท่าไหร่หรอก”... จำได้ว่าคำพูดนั้นธรรมดามากแต่ท่าทีต่างหากที่ไม่ธรรมดา
ฉันรู้สึกได้ว่า สหายท่านนี้มีความมุ่งมั่นและเหมือนพูดออกมาจากการใคร่ครวญที่รอบคอบแล้ว
ทำให้ความรู้สึกด้านลบที่ตกค้างในใจฉันค่อยๆ คลี่คลายสลายตัวหมดไปๆ...
ประกอบกับการที่ได้พบบรรยากาศที่คึกคัก
และพบว่าบรรดาผู้นำนักศึกษาและมวลชนระดับแถวหน้าๆ ของขบวนจากทุกสารทิศมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ค่ะ
ซึ่งหลายคนต่อมาภายหลังก็ได้กลายเป็นนักการเมือง นักเขียน นักหนังสือพิมพ์ นักการศึกษา
อาจารย์ข้าราชการระดับสูง เป็นนักธุรกิจ นักเล่นหุ้น เป็นผู้รับเหมา และอีกหลายคนยังคงมีบทบาทเป็นบุคคลมีชื่อเสียงในสังคมอยู่ในปัจจุบัน
ระหว่างนั้น พวกเค้ากำลังร่วมแรงกายแรงใจกันสร้างและขยายสำนักเพื่อเตรียมต้อนรับนักเรียนใหม่ๆ
ที่ต่างกำลังเดินทางมุ่งหน้ามา คนหนุ่มสาวเหล่านี้ล้วนเป็นผู้มีพลังทั้งทางความคิดความสามารถอย่างมาก
เพียงการเคลื่อนไหวทำโน่นนี่ของแต่ละคน ก็สามารถสร้างบรรยากาศที่มีชีวิตชีวาขึ้นมาทั่วทั้งสำนักในขณะนั้นค่ะ
บางคนบางกลุ่มก็ไปตัดไม้แบกข้ามเขาข้ามห้วยมาแปรรูปใช้ในสำนัก
บางคนเดินทางไปขนเสบียงข้าวสารอาหารแห้ง ซึ่งต้องเดินข้ามพรมแดนไปฝั่งลาว บางคนไปถึงปากแบ่ง
พบเจอสิ่งใดที่จะสามารถช่วยสหายเรื่องอาหารการกินได้ก็ซื้อหาแบกหิ้วมาอย่างไม่ขาดสาย
เช่นน้ำพริก น้ำปลา น้ำตาล แม้กระทั่งผงชูรส ฯลฯ แต่การไปเป้เสบียงจากสำนักฝั่งลาวนั้น
สหายแต่ละคนจะมีภาระหน้าที่ผลัดกันลงไปเป้ขึ้นมาอยู่เป็นกิจวัตรอยู่แล้วค่ะ
นอกจากนั้น
ในระหว่างการศึกษา ก็จะมีเซสชั่นหนึ่งถ้าจำไม่ผิด เพราะฉันชอบเซสชั่นนี้มาก คือการเดินทางไปหามวลชน
ไปเยี่ยมเยียนไปคลุกคลีไปอยู่กับเขาเพื่อศึกษาเรียนรู้รูปแบบชีวิตความเป็นอยู่ของมวลชน
ฉันจำได้ว่าตัวเองได้ไปเยี่ยมและพักค้างในบ้านของมวลชนชาวลั๊วะ มีลูกผู้ชายผิวคล้ำ
เป่าใบไม้เป็นเสียงเพลงได้ ยิง (เป่า) ลูกดอกแม่นมากๆ บ้านมวลชนเหล่านี้ทุกบ้านมีเตาผิงไฟอยู่ในบ้าน
ทำอาหารกินตรงนั้น นอนตรงนั้น บริเวณใต้ถุนก็จะเป็นที่อยู่ของสัตว์เลี้ยง (ถ้ามีนะคะ) ที่ยังจำได้แม่นก็คือ
มวลชนชาวบ้านเขามักจะต้มข้าวโพดฝักเล็กๆ ที่เมล็ดงามเป่งเอาไว้ต้อนรับให้เราแทะเล่นระหว่างนั่งคุยกันรอบกองไฟด้วย
พูดคุยกันสารพัดเรื่องจนผล็อยหลับกันไปบริเวณใกล้เตาไฟ ซึ่งก็ทำหน้าที่เป็นฮีทเตอร์ไปในตัว
เพราะอากาศบนภูหนาวมาก โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวปลายปีช่วงนั้นพอดีค่ะ... นี่เป็นฉากที่ชอบ
ซึ้งและตรึงใจมากๆ เลยค่ะ
ในระหว่างการเดินทางไปตามหมู่บ้านของมวลชนครั้งหนึ่ง
ร่วมกับสหายหญิงกลุ่มหนึ่งในช่วงขากลับ ฉันก็พบว่าตัวเองเกิดประจำเดือน (เรียกมันว่าประจำปี)
เกิดมากะทันหัน! ทำไงดีฉันลืมมันไปเลย
ฉันไม่มีอะไรติดตัวมาเลย ผ้าอนามัยหรือผ้าอะไรก็ไม่มี... สหายหญิงจากในเมืองในกลุ่มทราบเหตุ
ก็ได้แบ่งผ้าอนามัยที่เธอแบกมาจากในเมืองเมื่อหลายเดือนยังอยู่ในเป้
เธอล้วงจากเป้ยื่นให้ฉัน ...เอ้อ/ มันเป็นผ้าอนามัยแบบสอดซึ่งฉันไม่คุ้นเคย
และแถมซองภายนอกฉีกขาดไปบ้างเนื่องจากแบกไปมาเป็นเวลานาน แต่ฉันก็รับมาด้วยความขอบคุณ
มันเป็นเหตุฉุกเฉินทุลักทุเลไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้อีกแล้วค่ะ//
ระบบรอบเดือนของฉันคืนกลับมา...
ฉันถือว่ามันเป็นนิมิตหมายที่ดีสำหรับตัวเองค่ะ
ว่าทุกอย่างจะผ่านพ้นไปได้ด้วยดีจากนี้ต่อไป จวบจนกระทั่งถึงเวลาที่ทุกคนเรียนจบหลักสูตร...
และถึงเวลาที่จะต้องแยกย้ายกันไปเพื่อปฏิบัติภารกิจของแต่ละคนแต่ละหมู่เหล่ากันต่อไป...รวมทั้งฉันด้วย///
No comments:
Post a Comment