Sunday, October 19, 2014

อันเนื่องมาจาก “กรณี 6 ตุลา”... รำลึกชีวิตที่รอนแรมในขบวนการต่อสู้ (9)

Walking… Breathing… and …Having concentration!

เดิน... หายใจ... และ...มีสติ!  เป็นกฎเหล็กหรือข้อพึงปฏิบัติสำหรับการเดินขึ้นภูเขาที่ฉันสรุปได้จากการเดินทาง (อย่างบ้าคลั่ง) ในช่วงเกือบสองปีในป่าเขาค่ะ
ขอบคุณภาพจาก Pinterest ค่ะ
...ฉันไม่ได้คิดว่าเป็นการค้นพบอันยิ่งใหญ่แบบ - ยูเรก้า – หรืออะไรทำนองนั้นหรอก มันก็แค่เป็นบทเรียนจากการดำเนินชีวิตช่วงหนึ่งที่ไม่ปกติ ที่แปลกออกไปจากที่คุ้นเคยเท่านั้นค่ะ...แต่มันก็เป็นบทเรียนจากชีวิตที่ฉันนำมาใช้ได้จนทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นเดินขึ้นบันไดสะพานข้ามถนน หรือบันไดทุกแบบในโลกนี้ ฉันก็พิชิตมันได้อย่างราบคาบมาทั้งหมด รับรองว่ามันใช้ได้จริงๆ ค่ะ
........
จริงๆ แล้วการเดินทางไกลมากับกองคาราวานครั้งนั้น แม้จะรอนแรมแบบไม่รู้เหนือรู้ใต้สักเท่าใด แต่ฉันกลับรู้สึกผ่อนคลายลิงโลดเริงร่าร้องรำทำเพลงร่วมกับสหายมาเกือบตลอดทาง... ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะว่าฉันได้ผ่านการปรับตัวปรับใจปรับกายกับชีวิตที่รอนแรมแบบนี้ได้ในระดับที่แน่นอนแล้ว โดยที่สำคัญฉันเริ่มมีร่างกายและแขนขาที่แข็งแกร่งขึ้นสามารถรับมือกับการเดินขึ้นภูลงภูได้มากขึ้นแล้ว...
สหายแต่ละคนที่อยู่ในกองคาราวานแม้มาจากคนละที่ทางกัน ส่วนใหญ่มักเป็นนักศึกษาที่ได้เข้าร่วมมีบทบาทต่างๆ ในขบวนการต่อสู้จากสถาบันการศึกษาต่างๆ มีที่เป็นคนหนุ่มสาวที่ทำงานมีครอบครัวแล้วอย่างฉันไม่มากนัก โดยทั่วไปจึงมักมาเป็นกลุ่มเล็กๆ และเพิ่งรู้จักกันในระหว่างที่เดินไปด้วยกัน แต่ทุกคนก็มีความรู้สึกเป็นมิตร รู้สึกเห็นอกเห็นใจช่วยเหลือเอื้ออาทรต่อกันเหมือนเป็นญาติพี่น้องเป็นผู้ร่วมอุดมการณ์กัน ใครลื่นล้มก็ช่วยกันพยุงให้ลุกขึ้นมา ใครเจ็บหัวปวดท้องใครมียาติดมาก็แบ่งปันให้กัน ดูแลซึ่งกันและกันไประหว่างการเคลื่อนขบวนไปข้างหน้า...
ฉันคิดว่า อย่างน้อยการเดินไปข้างหน้าที่ดูเหมือนมีเป้าหมายแบบนี้ ก็เป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นมากกว่าจำเจอยู่กับที่/
........
จากการที่ต้องเดินไปลุยไป จากที่ต้องลื่นล้มลุกคลุกคลาน ผ่านฝนเปียกปอนผ่านร้อนผ่านหนาวอย่างโชกโชน และบางครั้งก็โชกเลือด (ทั้งจากบาดแผลและจากการโดนทากดูด) ฉันก็ค่อยๆ พบว่าในราวป่าช่างเต็มไปด้วยชีวิตชีวา นอกจากมีเรื่องตื่นเต้นที่ผ่านเข้ามาไม่เว้นแต่ละวันแล้ว ระหว่างที่เดินก็เหมือนได้ฝึกสมาธิ ได้ฝึกฝนความอดทนของตนเอง ฝึกหายใจฝึกเดินไปตามจังหวะการหายใจ จากนั้นมันได้ทำให้ฉันค้นพบกฎเกณฑ์ในการเดินขึ้น-ลงภูเขาที่สูงชันขณะต้องแบกเป้สัมภาระไว้บนหลังที่มีน้ำหนักไม่น้อย โดยที่ไม่เหนื่อยมากและเดินได้ทนมากขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ ทำให้กล้าท้าทายไม่กลัวการปีนภูเขาสูงเหมือนที่ผ่านๆ มา...
ก่อนจะรู้ตัว / ฉันก็ได้หลงรักการเดินทางในป่าเขาเข้าไปแล้วอย่างหมดใจเลยจริงๆ... บอกได้เลยว่า ฉันได้พบว่าการเดินทางนี่ช่างวิเศษจริงๆ ค่ะ 
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากที่ผ่านจุดพักยาว ณ สถานที่แห่งหนึ่ง ที่นั่นทุกคนได้รับแจกเสื้อผ้าชุดใหม่สีเขียวคล้ายทหาร และรองเท้าผ้าใบหุ้มข้อ / ย้ำค่ะ รองเท้าผ้าใบแบบหุ้มข้อค่ะ! อย่างหลังเนี่ยมันช่างวิเศษ “ใช่เลย! –พระเจ้าจอร์จมันยอดมากๆๆ ฉันถึงกับเอ่ยปากขอบคุณพรรคคอมมิวนิสต์เลยละค่ะ จากนี้ไปฉันจะสามารถปลอดจากการคุกคามของทากโดยเด็ดขาด ฉันจะสามารถก้าวเดินอย่างมั่นคง บุกน้ำลุยไฟขึ้นเขาลงห้วยอย่างห้าวหาญไม่หวั่นเกรงอีกต่อไปแล้วค่ะ...
กฎเกณฑ์การเดินขึ้นเขาขณะแบกเป้โดยการสาวเท้าไปข้างหน้าให้สอดคล้องกับจังหวะการหายใจ หายใจให้ลึกถึงปอดเป่าลมออกทางปากและสูดลมเข้าให้สอดคล้องกับจังหวะการก้าวเดินของเท้า อย่าสติหลุด มีถุงเท้าสวมซ้อนกันสองชั้นมีรองเท้าดีมีกางเกงขาจั๊มกลัดกระดุมที่ปลายขาแล้วไม่ต้องหวั่นเกรงทากหรือสัตว์เลื้อยคลานชนิดใดๆ อีก...
ครั้งนั้นฉันรู้สึกเหมือนได้ชีวิตใหม่ และฉันคงเผลอตัวคิดว่าฉัน “บรรลุ” แล้ว ฉันจะโบยบินไปอย่างอิสรเสรี ฉันเกือบหลงผิดคิดว่าตัวเองจะได้มีอิสระแล้ว ถ้าหากไม่ได้บังเอิญมาเจอสหายคนหนึ่งที่เข้ามาร่วมทางเดินช่วงสั้นๆ ก่อนที่ฉันจะถึงสำนัก 61 สหายคนนี้แหละค่ะที่ทำให้ฉันสายป่านขาด สติตกแตกกราวเมื่อเค้าพูดกับฉันว่า...

“เธอต้องไปเข้าโรงเรียน (การเมืองการทหาร) ที่สำนัก 61 ก่อน” นั่นเป็นคำพูดสั้นๆ ของเค้าที่ดังซ้ำไปซ้ำมาในสมองของฉันอยู่หลายวันเลยค่ะ...

No comments:

Post a Comment