Walking… Breathing… and …Having concentration!
เดิน...
หายใจ... และ...มีสติ! เป็นกฎเหล็กหรือข้อพึงปฏิบัติสำหรับการเดินขึ้นภูเขาที่ฉันสรุปได้จากการเดินทาง
(อย่างบ้าคลั่ง) ในช่วงเกือบสองปีในป่าเขาค่ะ
![]() |
ขอบคุณภาพจาก Pinterest ค่ะ |
...ฉันไม่ได้คิดว่าเป็นการค้นพบอันยิ่งใหญ่แบบ
- ยูเรก้า – หรืออะไรทำนองนั้นหรอก
มันก็แค่เป็นบทเรียนจากการดำเนินชีวิตช่วงหนึ่งที่ไม่ปกติ
ที่แปลกออกไปจากที่คุ้นเคยเท่านั้นค่ะ...แต่มันก็เป็นบทเรียนจากชีวิตที่ฉันนำมาใช้ได้จนทุกวันนี้
ไม่ว่าจะเป็นเดินขึ้นบันไดสะพานข้ามถนน หรือบันไดทุกแบบในโลกนี้ ฉันก็พิชิตมันได้อย่างราบคาบมาทั้งหมด
รับรองว่ามันใช้ได้จริงๆ ค่ะ
........
จริงๆ
แล้วการเดินทางไกลมากับกองคาราวานครั้งนั้น แม้จะรอนแรมแบบไม่รู้เหนือรู้ใต้สักเท่าใด
แต่ฉันกลับรู้สึกผ่อนคลายลิงโลดเริงร่าร้องรำทำเพลงร่วมกับสหายมาเกือบตลอดทาง...
ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะว่าฉันได้ผ่านการปรับตัวปรับใจปรับกายกับชีวิตที่รอนแรมแบบนี้ได้ในระดับที่แน่นอนแล้ว
โดยที่สำคัญฉันเริ่มมีร่างกายและแขนขาที่แข็งแกร่งขึ้นสามารถรับมือกับการเดินขึ้นภูลงภูได้มากขึ้นแล้ว...
สหายแต่ละคนที่อยู่ในกองคาราวานแม้มาจากคนละที่ทางกัน
ส่วนใหญ่มักเป็นนักศึกษาที่ได้เข้าร่วมมีบทบาทต่างๆ
ในขบวนการต่อสู้จากสถาบันการศึกษาต่างๆ
มีที่เป็นคนหนุ่มสาวที่ทำงานมีครอบครัวแล้วอย่างฉันไม่มากนัก
โดยทั่วไปจึงมักมาเป็นกลุ่มเล็กๆ และเพิ่งรู้จักกันในระหว่างที่เดินไปด้วยกัน แต่ทุกคนก็มีความรู้สึกเป็นมิตร
รู้สึกเห็นอกเห็นใจช่วยเหลือเอื้ออาทรต่อกันเหมือนเป็นญาติพี่น้องเป็นผู้ร่วมอุดมการณ์กัน
ใครลื่นล้มก็ช่วยกันพยุงให้ลุกขึ้นมา ใครเจ็บหัวปวดท้องใครมียาติดมาก็แบ่งปันให้กัน
ดูแลซึ่งกันและกันไประหว่างการเคลื่อนขบวนไปข้างหน้า...
ฉันคิดว่า อย่างน้อยการเดินไปข้างหน้าที่ดูเหมือนมีเป้าหมายแบบนี้
ก็เป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นมากกว่าจำเจอยู่กับที่/
........
จากการที่ต้องเดินไปลุยไป
จากที่ต้องลื่นล้มลุกคลุกคลาน ผ่านฝนเปียกปอนผ่านร้อนผ่านหนาวอย่างโชกโชน
และบางครั้งก็โชกเลือด (ทั้งจากบาดแผลและจากการโดนทากดูด) ฉันก็ค่อยๆ พบว่าในราวป่าช่างเต็มไปด้วยชีวิตชีวา
นอกจากมีเรื่องตื่นเต้นที่ผ่านเข้ามาไม่เว้นแต่ละวันแล้ว
ระหว่างที่เดินก็เหมือนได้ฝึกสมาธิ ได้ฝึกฝนความอดทนของตนเอง
ฝึกหายใจฝึกเดินไปตามจังหวะการหายใจ จากนั้นมันได้ทำให้ฉันค้นพบกฎเกณฑ์ในการเดินขึ้น-ลงภูเขาที่สูงชันขณะต้องแบกเป้สัมภาระไว้บนหลังที่มีน้ำหนักไม่น้อย
โดยที่ไม่เหนื่อยมากและเดินได้ทนมากขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ
ทำให้กล้าท้าทายไม่กลัวการปีนภูเขาสูงเหมือนที่ผ่านๆ มา...
ก่อนจะรู้ตัว
/ ฉันก็ได้หลงรักการเดินทางในป่าเขาเข้าไปแล้วอย่างหมดใจเลยจริงๆ... บอกได้เลยว่า
ฉันได้พบว่าการเดินทางนี่ช่างวิเศษจริงๆ ค่ะ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
หลังจากที่ผ่านจุดพักยาว ณ สถานที่แห่งหนึ่ง ที่นั่นทุกคนได้รับแจกเสื้อผ้าชุดใหม่สีเขียวคล้ายทหาร
และรองเท้าผ้าใบหุ้มข้อ / ย้ำค่ะ รองเท้าผ้าใบแบบหุ้มข้อค่ะ! อย่างหลังเนี่ยมันช่างวิเศษ “ใช่เลย!” –พระเจ้าจอร์จมันยอดมากๆๆ
ฉันถึงกับเอ่ยปากขอบคุณพรรคคอมมิวนิสต์เลยละค่ะ จากนี้ไปฉันจะสามารถปลอดจากการคุกคามของทากโดยเด็ดขาด
ฉันจะสามารถก้าวเดินอย่างมั่นคง
บุกน้ำลุยไฟขึ้นเขาลงห้วยอย่างห้าวหาญไม่หวั่นเกรงอีกต่อไปแล้วค่ะ...
กฎเกณฑ์การเดินขึ้นเขาขณะแบกเป้โดยการสาวเท้าไปข้างหน้าให้สอดคล้องกับจังหวะการหายใจ
หายใจให้ลึกถึงปอดเป่าลมออกทางปากและสูดลมเข้าให้สอดคล้องกับจังหวะการก้าวเดินของเท้า
อย่าสติหลุด มีถุงเท้าสวมซ้อนกันสองชั้นมีรองเท้าดีมีกางเกงขาจั๊มกลัดกระดุมที่ปลายขาแล้วไม่ต้องหวั่นเกรงทากหรือสัตว์เลื้อยคลานชนิดใดๆ
อีก...
ครั้งนั้นฉันรู้สึกเหมือนได้ชีวิตใหม่
และฉันคงเผลอตัวคิดว่าฉัน “บรรลุ” แล้ว ฉันจะโบยบินไปอย่างอิสรเสรี
ฉันเกือบหลงผิดคิดว่าตัวเองจะได้มีอิสระแล้ว ถ้าหากไม่ได้บังเอิญมาเจอสหายคนหนึ่งที่เข้ามาร่วมทางเดินช่วงสั้นๆ
ก่อนที่ฉันจะถึงสำนัก 61 สหายคนนี้แหละค่ะที่ทำให้ฉันสายป่านขาด
สติตกแตกกราวเมื่อเค้าพูดกับฉันว่า...
“เธอต้องไปเข้าโรงเรียน
(การเมืองการทหาร) ที่สำนัก 61 ก่อน”
นั่นเป็นคำพูดสั้นๆ ของเค้าที่ดังซ้ำไปซ้ำมาในสมองของฉันอยู่หลายวันเลยค่ะ...
No comments:
Post a Comment