Monday, October 13, 2014

อันเนื่องมาจาก “กรณี 6 ตุลา”... รำลึกชีวิตที่รอนแรมในขบวนการต่อสู้ (5)

ไร่นาเขียวขจี... ธงแดงโบกพลิ้ว...
ฉันรู้สึกเกรงใจขณะเดียวกันก็ขอบคุณสหายในป่า ผู้ที่เอื้ออำนวยให้กับการเดินทางลงจากภูเขาของฉันและสหายที่เป็นคนสำคัญอีกสองคน คือสหายวิทยา (คุณเสถียร) และสหายศัลยา (ภรรยาคุณเสถียร) เพราะมันไม่ใช่เป็นเรื่องที่ง่ายๆ แต่อย่างใดเลย กลับรู้สึกถึงความซับซ้อนยิ่งกว่าตอนเดินทางขึ้นไปเสียอีก ถ้าจำไม่ผิดก็เป็นช่วงปลายๆ ของการล้อมปราบ และมีการเตรียมตัวให้สหายบางส่วนเดินทางกลับไปยังค่ายเดิมบ้างแล้ว
ฉันรู้สึกเห็นใจคนที่อยู่ในตำแหน่งที่เป็นสหายนำในป่าขณะนั้นเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากจะต้องรับมือความยากลำบากที่เกิดจากสถานการณ์ตึงเครียดโดยเฉพาะด้านความปลอดภัยแล้ว ยังต้องพยายามแก้ปัญหาความไม่ลงรอยกันระหว่างสหายเองภายในสำนักอีกด้วย เหล่าสหายผู้นำเองก็มาจากสายจัดตั้งต่างสายที่มีแนวความคิดการจัดการปัญหาปัญญาชนที่แตกต่างกัน บรรดานักศึกษาปัญญาชนก็ไม่คุ้นเคยกับ “กฎเหล็ก” ของพรรค เพราะเดาว่าส่วนใหญ่เป็นมวลชนผู้รักประชาธิปไตย ยังไม่ได้เข้าจัดตั้งเป็น “ย” เป็น “ส” เป็นผู้ที่ต้องการเสรีภาพและความเท่าเทียม เกลียดเผด็จการที่ออกคำสั่งซ้ายหันขวาหัน ดังนั้น เมื่อต้องเข้ามาอยู่ในบรรยากาศที่มีกรอบมีกฎ แถมยังลำบาก อยู่ได้สักพักก็ปรี๊ดแตกกันไปตามๆ
ระหว่างที่เดินทางจากมา ฉันคิดถึงสหายพวกเราหลายๆ คนที่ยังอยู่บนภูเขา นึกอยู่ในใจว่าสหายเหล่านี้ในที่สุดก็จะต้องเดินทางออกมาเหมือนกับฉัน สถานที่ของเหล่าผู้ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยจากในเมืองนั้น ไม่ใช่ในป่าอย่างที่ฉันเห็นมาแน่นอน... แต่ภายใต้สถานการณ์ในประเทศไทยขณะนั้น มันบีบบังคับเหมาเทกระจาดไล่ทุกคนที่ต่อสู้ให้ไปตกคลั่กอยู่ในป่าทั้งหมด เป็นความผิดพลาดทางยุทธศาสตร์ครั้งสำคัญของผู้มีอำนาจในเมืองไทยขณะนั้น เพราะเค้ากวาดไล่ปัญญาชนและนักศึกษาที่เก่งๆ ออกไปอยู่กับฝ่ายตรงข้ามกับตัวเองหมด แล้วเริ่มโปรแกรมสร้างชาติให้ถอยไปข้างหลัง...
การเดินทางผ่านกรุงเทพฯ ของฉันในครั้งนั้นเกือบไม่มีความหมายอะไรเลย ...สิ่งที่ฉันอยากได้มากที่สุดคือได้แวะหาลูก ได้กอดลูกสักครั้ง ได้เห็นหน้าลูก  หรือกระทั่งผ่านหน้าบ้านมองเข้าไปในบ้านสักครั้ง...
ได้รับคำตอบว่า เป็นไปไม่ได้เลย เพราะบ้านของเรายังถูกเฝ้าติดตามอยู่...
ฉันรู้สึกไม่มีทางเลือก สถานการณ์ต่างๆ ยังไม่เอื้ออำนวยให้ฉันได้ใช้ชีวิตปกติในเมือง ไม่แม้สักนิด ฉันไม่กล้าติดต่อใครเลยแม้แต่ญาติพี่น้องของฉันเอง เพราะฉันกลัวว่าพวกเขาจะพากันเดือดร้อนเพราะฉัน และตอนนั้นฉันยังไม่รู้ว่าสามีอยู่ที่ไหน คิดว่าเค้าน่าจะอยู่ในเขตปลดปล่อยที่ใดที่หนึ่งในภาคเหนือ
สถานีวิทยุเสียงประชาชนแห่งประเทศไทย ยังคงออกอากาศอย่างเข้มข้น และมีการเปลี่ยนโฆษกใหม่เป็นเสียงเพื่อนของเราที่เข้าไปที่นั่นก่อนหน้าแล้ว มีการแต่งเพลงใหม่ๆ มาออกอากาศเป็นระยะๆ... รวมทั้งเพลงที่ร้องกันในขบวนการต่อสู้ตั้งแต่ครั้ง 14 ตุลา หลายเพลง ที่ขับร้องโดยนักร้องใหม่ที่เข้าไปจากในเมือง
เนื้อหาในบางเพลงบอกว่า พรรคคอมมิวนิสต์มีฐานที่มั่นอยู่ทางภาคเหนือ เช่นถ้าจำไม่ผิดมีเพลงร้องว่า...
“ไร่นาเขียวขจี... ธงแดงโบกพลิ้ว...” เอ้อ.. รู้สึกเหมือนตอบโจทย์ว่าเราน่าจะได้ไปที่นี่ ...มีไร่นาเขียวขจีด้วย...
ตามประสาคนนอกจัดตั้ง ที่ไม่ได้รับรู้ข่าวสารมากนัก ฉันจำต้องเดินทางต่อไปหลังจากพักอยู่ในที่ปิดลับเพียงสองสามวัน มีสหายในเมืองพาไปซื้อข้าวของที่จำเป็น เช่นเสื้อผ้ารองเท้าถุงเท้าชุดชั้นใน ฯลฯ
ครั้งนั้นจำได้ว่า ฉันได้บอกกับสหายในเมืองที่มาช่วยเรื่องการเดินทางของเราว่า ฉันอยากได้รูปถ่ายของลูกมากที่สุด ซึ่งสหายท่านนั้นก็รับปากว่าจะจัดการให้ฉันได้รูปถ่ายของลูก ฉันขอบคุณเขาและรู้สึกดีใจจนน้ำตาคลอ
และแล้วเราทั้งสามคนผู้เพิ่งไต่ลงมาจากเทือกเขาบรรทัดทางภาคใต้ ก็ตัดสินใจเดินทางต่อเพื่อไต่ขึ้นสู่เขตการเคลื่อนไหว (หรือที่เรียกขานกันว่าเป็น “ฐานที่มั่น”) ของคอมมิวนิสต์ไทยบนเทือกเขาในภาคเหนือต่อไปอีกคำรพหนึ่ง

เราขึ้นเหนือจากกรุงเทพฯโดยรถตู้ ฉันนั่งรถมาเงียบๆ แต่ในหัวของฉันมีเสียงเพลงดังอยู่ไกลๆ จำได้แต่ว่า... ไร่นาเขียวขจี... ธงแดงโบกพลิ้ว... เป็นไงก็เป็นกัน เพราะตัวเราก็เท่านี้///

No comments:

Post a Comment