ไร่นาเขียวขจี... ธงแดงโบกพลิ้ว...
ฉันรู้สึกเกรงใจขณะเดียวกันก็ขอบคุณสหายในป่า
ผู้ที่เอื้ออำนวยให้กับการเดินทางลงจากภูเขาของฉันและสหายที่เป็นคนสำคัญอีกสองคน คือสหายวิทยา
(คุณเสถียร) และสหายศัลยา (ภรรยาคุณเสถียร) เพราะมันไม่ใช่เป็นเรื่องที่ง่ายๆ
แต่อย่างใดเลย กลับรู้สึกถึงความซับซ้อนยิ่งกว่าตอนเดินทางขึ้นไปเสียอีก
ถ้าจำไม่ผิดก็เป็นช่วงปลายๆ ของการล้อมปราบ และมีการเตรียมตัวให้สหายบางส่วนเดินทางกลับไปยังค่ายเดิมบ้างแล้ว
ฉันรู้สึกเห็นใจคนที่อยู่ในตำแหน่งที่เป็นสหายนำในป่าขณะนั้นเป็นอย่างมาก
เพราะนอกจากจะต้องรับมือความยากลำบากที่เกิดจากสถานการณ์ตึงเครียดโดยเฉพาะด้านความปลอดภัยแล้ว
ยังต้องพยายามแก้ปัญหาความไม่ลงรอยกันระหว่างสหายเองภายในสำนักอีกด้วย เหล่าสหายผู้นำเองก็มาจากสายจัดตั้งต่างสายที่มีแนวความคิดการจัดการปัญหาปัญญาชนที่แตกต่างกัน
บรรดานักศึกษาปัญญาชนก็ไม่คุ้นเคยกับ “กฎเหล็ก” ของพรรค
เพราะเดาว่าส่วนใหญ่เป็นมวลชนผู้รักประชาธิปไตย ยังไม่ได้เข้าจัดตั้งเป็น “ย” เป็น
“ส” เป็นผู้ที่ต้องการเสรีภาพและความเท่าเทียม
เกลียดเผด็จการที่ออกคำสั่งซ้ายหันขวาหัน ดังนั้น เมื่อต้องเข้ามาอยู่ในบรรยากาศที่มีกรอบมีกฎ
แถมยังลำบาก อยู่ได้สักพักก็ปรี๊ดแตกกันไปตามๆ
ระหว่างที่เดินทางจากมา
ฉันคิดถึงสหายพวกเราหลายๆ คนที่ยังอยู่บนภูเขา
นึกอยู่ในใจว่าสหายเหล่านี้ในที่สุดก็จะต้องเดินทางออกมาเหมือนกับฉัน สถานที่ของเหล่าผู้ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยจากในเมืองนั้น
ไม่ใช่ในป่าอย่างที่ฉันเห็นมาแน่นอน... แต่ภายใต้สถานการณ์ในประเทศไทยขณะนั้น
มันบีบบังคับเหมาเทกระจาดไล่ทุกคนที่ต่อสู้ให้ไปตกคลั่กอยู่ในป่าทั้งหมด
เป็นความผิดพลาดทางยุทธศาสตร์ครั้งสำคัญของผู้มีอำนาจในเมืองไทยขณะนั้น เพราะเค้ากวาดไล่ปัญญาชนและนักศึกษาที่เก่งๆ
ออกไปอยู่กับฝ่ายตรงข้ามกับตัวเองหมด แล้วเริ่มโปรแกรมสร้างชาติให้ถอยไปข้างหลัง...
การเดินทางผ่านกรุงเทพฯ
ของฉันในครั้งนั้นเกือบไม่มีความหมายอะไรเลย
...สิ่งที่ฉันอยากได้มากที่สุดคือได้แวะหาลูก ได้กอดลูกสักครั้ง
ได้เห็นหน้าลูก หรือกระทั่งผ่านหน้าบ้านมองเข้าไปในบ้านสักครั้ง...
ได้รับคำตอบว่า
เป็นไปไม่ได้เลย เพราะบ้านของเรายังถูกเฝ้าติดตามอยู่...
ฉันรู้สึกไม่มีทางเลือก
สถานการณ์ต่างๆ ยังไม่เอื้ออำนวยให้ฉันได้ใช้ชีวิตปกติในเมือง ไม่แม้สักนิด
ฉันไม่กล้าติดต่อใครเลยแม้แต่ญาติพี่น้องของฉันเอง
เพราะฉันกลัวว่าพวกเขาจะพากันเดือดร้อนเพราะฉัน และตอนนั้นฉันยังไม่รู้ว่าสามีอยู่ที่ไหน
คิดว่าเค้าน่าจะอยู่ในเขตปลดปล่อยที่ใดที่หนึ่งในภาคเหนือ
สถานีวิทยุเสียงประชาชนแห่งประเทศไทย
ยังคงออกอากาศอย่างเข้มข้น
และมีการเปลี่ยนโฆษกใหม่เป็นเสียงเพื่อนของเราที่เข้าไปที่นั่นก่อนหน้าแล้ว
มีการแต่งเพลงใหม่ๆ มาออกอากาศเป็นระยะๆ...
รวมทั้งเพลงที่ร้องกันในขบวนการต่อสู้ตั้งแต่ครั้ง 14 ตุลา หลายเพลง
ที่ขับร้องโดยนักร้องใหม่ที่เข้าไปจากในเมือง
เนื้อหาในบางเพลงบอกว่า
พรรคคอมมิวนิสต์มีฐานที่มั่นอยู่ทางภาคเหนือ เช่นถ้าจำไม่ผิดมีเพลงร้องว่า...
“ไร่นาเขียวขจี...
ธงแดงโบกพลิ้ว...” เอ้อ.. รู้สึกเหมือนตอบโจทย์ว่าเราน่าจะได้ไปที่นี่ ...มีไร่นาเขียวขจีด้วย...
ตามประสาคนนอกจัดตั้ง
ที่ไม่ได้รับรู้ข่าวสารมากนัก
ฉันจำต้องเดินทางต่อไปหลังจากพักอยู่ในที่ปิดลับเพียงสองสามวัน
มีสหายในเมืองพาไปซื้อข้าวของที่จำเป็น เช่นเสื้อผ้ารองเท้าถุงเท้าชุดชั้นใน ฯลฯ
ครั้งนั้นจำได้ว่า
ฉันได้บอกกับสหายในเมืองที่มาช่วยเรื่องการเดินทางของเราว่า
ฉันอยากได้รูปถ่ายของลูกมากที่สุด
ซึ่งสหายท่านนั้นก็รับปากว่าจะจัดการให้ฉันได้รูปถ่ายของลูก
ฉันขอบคุณเขาและรู้สึกดีใจจนน้ำตาคลอ
และแล้วเราทั้งสามคนผู้เพิ่งไต่ลงมาจากเทือกเขาบรรทัดทางภาคใต้
ก็ตัดสินใจเดินทางต่อเพื่อไต่ขึ้นสู่เขตการเคลื่อนไหว (หรือที่เรียกขานกันว่าเป็น
“ฐานที่มั่น”) ของคอมมิวนิสต์ไทยบนเทือกเขาในภาคเหนือต่อไปอีกคำรพหนึ่ง
เราขึ้นเหนือจากกรุงเทพฯโดยรถตู้
ฉันนั่งรถมาเงียบๆ แต่ในหัวของฉันมีเสียงเพลงดังอยู่ไกลๆ จำได้แต่ว่า...
ไร่นาเขียวขจี... ธงแดงโบกพลิ้ว... เป็นไงก็เป็นกัน เพราะตัวเราก็เท่านี้///
No comments:
Post a Comment