Tuesday, October 28, 2014

อันเนื่องมาจาก “กรณี 6 ตุลา”... รำลึกชีวิตที่รอนแรมในขบวนการต่อสู้ (อวสาน)

การเคารพความคิดเห็นที่แตกต่าง...สู่การจากลาอย่างอารยะ

ขอบคุณภาพจากอินเทอร์เน็ตค่ะ
ก่อนอื่นฉันอยากพูดถึงคำว่า “จัดตั้ง” ในความเข้าใจของฉันสักเล็กน้อย ในครั้งนั้นคำๆ นี้เป็นคำที่ค่อนข้างนามธรรมสำหรับฉัน เริ่มแรกเข้าใจว่ามันเป็นคำกลางๆ สำหรับเรียก “ผู้ใหญ่” ในพรรคฯ ที่อยู่ในสถานภาพที่สามารถตัดสินใจเรื่องสำคัญๆ ได้  ต่อมาก็เห็นว่ามันก็เป็นระบบการจัดการบริหารองค์กรอย่างหนึ่งที่มีลักษณะสั่งการเป็นลำดับชั้น (Hierarchy) และใครก็ตามที่มาอยู่กับพรรคคอมมิวนิสต์ในที่สุดแล้วก็จะต้องถูก “จัดตั้ง” ซึ่งลักษณะเช่นนี้ จัดตั้งก็ดูเหมือนจะเป็น “ผู้นำทางความคิด หรือ mentor” แต่ก็มีอะไรที่มากกว่านั้น เพราะขณะเดียวกันคนๆ นั้นก็จะต้องไปจัดตั้งคนอื่นๆ ต่อๆ ไป จัดตั้งอาจเป็นผู้สั่งการให้ผู้ที่อยู่ในลำดับชั้นล่างลงไปปฏิบัตินั่นนี่ มีภารกิจที่ต้องไปบรรลุเพื่อความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของส่วนรวม โดยมี “กฎเหล็ก” ที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เช่น ชั้นล่างขึ้นต่อชั้นบน เสียงข้างน้อยขึ้นต่อเสียงข้างมาก ส่วนทั้งหมดขึ้นต่อศูนย์กลาง เป็นต้น ซึ่งมีคำศัพท์ที่ใช้เรียกสไตล์การบริหารจัดการหรือการปกครองแบบนี้ว่าเป็น “ประชาธิปไตยแบบรวมศูนย์”
ที่น่าสังเกตคือมีสหายบางคนรู้สึกว่า พรรคและจัดตั้งเป็นเหมือน “พ่อแม่” ที่คอยอบรมชี้นำสั่งสอนเอาเรื่องสำคัญๆ มาบอก มาคอยดูแลทุกข์สุขคอยช่วยเหลือเมื่อพบเจอปัญหา ฯลฯ
ต้องขอโทษไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะหากใครอ่านข้อความข้างต้นแล้วไม่เข้าใจ หรือคลุมเครือ... !
........
ที่พยายามพูดเรื่องนี้ขึ้นมาเนื่องจาก ในช่วงเวลาค่อนไปทางปลายปี 1978 หรือ พ.ศ. 2521 เห็นจะได้นะคะ สหายอาวุโสในสำนักที่ฉันล้วนเคารพนับถือ ได้เมตตาให้ฉันเข้าโครงการศึกษาเรื่องเกี่ยวกับพรรค จัดตั้ง และลัทธิมาร์กซ์-เลนิน-ความคิดเหมาเจ๋อตง ซึ่งฉันเข้าใจว่า เพื่อให้ฉันได้ผ่านกระบวนการตามขั้นตอนของผู้ที่จะเข้าสู่การจัดตั้งของพรรค อะไรทำนองนี้นะคะ โปรแกรมและกระบวนการดังกล่าวดูเหมือนจะมีทั้งหมด 3 ครั้ง ศึกษาเสร็จแล้วก็เขียนรายงานความเข้าใจ และdefend ความเข้าใจของตนเองกับ “จัดตั้ง” คล้ายๆ แบบนี้นะคะ /
ด้วยความเคารพ... เหตุการณ์นี้ได้เกิดขึ้นมานานเกือบ 40 ปีแล้ว ฉันจะขอเขียนในเชิงการรำลึกถึงเหตุการณ์จากมุมมองของตนเองเป็นหลักนะคะ เพราะในระหว่างนั้นหากได้มีการพิจารณาเอกสารรายงานผลการศึกษาของฉันในหมู่สหายในกลุ่มจัดตั้งชั้นบนกันอย่างไรนั้น ฉันก็ไม่ได้มีโอกาสรับรู้จนถึงทุกวันนี้ เพราะเป็นเรื่องปิดลับ...
 แต่... แต่สิ่งที่ฉันอยากจะบอกก็คือ... กระบวนการที่ฉันต้องศึกษาทบทวนเรื่องต่างๆ นี้เอง กลับทำให้ตัวฉันเองได้ค้นพบและได้มีโอกาสทำความกระจ่างในหลายๆ เรื่องที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยคิดมาก่อนค่ะ... บอกได้เลยว่าจนถึงวันนี้ ยังรู้สึกขอบคุณสหายอาวุโสที่ได้เปิดโอกาสให้ฉันได้ผ่านกระบวนการดังกล่าวในครั้งนั้นเป็นอย่างสูงค่ะ
ครั้งนั้น ฉันทำงานไปด้วยและก็ศึกษาค้นคว้าทบทวนประเด็นเรื่องราวต่างๆ ไปด้วยอย่างหามรุ่งหามค่ำตลอดช่วงเวลาหลายเดือน คิดว่าถึงราวๆ ปลายปี 1978 หากจำไม่ผิด ฉันก็ได้เข้าสู่กระบวนการศึกษาครั้งที่ 3 ซึ่งถือว่าเป็นครั้งสุดท้ายแล้วค่ะ (บางคนได้ผ่านตั้งแต่ครั้งแรกค่ะ) ฉันก็ได้ตัดสินใจเขียน “พิจารณาตัวเอง” ลงไปในรายงานที่จะเสนอต่อจัดตั้งด้วยความเคารพและจริงใจอย่างถึงที่สุดว่า ...ฉันคงไม่สามารถเข้าสู่การจัดตั้งของพรรคได้ เพราะฉันไม่เห็นด้วยกับแนวทางสำคัญๆ ของพรรคหลายเรื่อง โดยเฉพาะในเรื่องเกี่ยวกับจุดยืนท่าทีของพรรคในความขัดแย้งระหว่างจีนกับสหภาพโซเวียต แต่ฉันก็เข้าใจถึงความจำเป็นของพรรคและเคารพต่อการตัดสินใจเลือกของพรรค...
ขอบคุณภาพจากเน็ตค่ะ
จนถึงทุกวันนี้ ฉันยังรู้สึกซาบซึ้งถึงความกระตือรือร้นและความเอาใจใส่ของบรรดาสหายอาวุโสหลายคน ที่ต่างก็สละเวลามาเดินคุยเพื่อทำความกระจ่างในปัญหาของฉันคนละหลายครั้งรวมระยะทางหลายสิบกิโลเป็นเวลาหลายวันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งฉันก็หวังว่าฉันได้ทำให้ท่านเหล่านั้นเข้าใจในความคิดเห็นของฉัน ซึ่งไม่มีเรื่องส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวแต่อย่างใดเลย
และก็เป็นความบังเอิญที่เรื่องของฉันมาประจวบกับช่วงเกิดปัญหาใหญ่ ที่ความขัดแย้งระหว่างประเทศคอมมิวนิสต์ใหญ่ดำเนินไปถึงจุดระเบิดเกิดการใช้กำลังเข้าห้ำหั่นกันอย่างละเลงเลือดในช่วงต้นปี 1979 และหลังจากการประกาศปิดสถานีวิทยุ สปท. ไม่นาน สหายพจน์ก็ได้ตัดสินใจขอเดินทางออกจากประเทศจีน ซึ่งมีกระบวนการยาวนานประมาณ 2 ปี กว่าจะได้เดินทางออกจากสำนักจริงๆ ซึ่งระหว่างนั้นได้มีเพื่อนและน้องๆ เข้ามาร่วมเป็นกลุ่มทั้งหมด  6 คน
ในช่วง 2 ปี ระหว่างการรอเดินทางออกนั้น ทางสำนักก็ได้จัดให้เรามีพื้นที่ของตนเองเฉพาะกลุ่ม และไม่มีกิจกรรมร่วมกับสหายอื่นๆ ดังที่เคยปฏิบัติ ขณะเดียวกันยังได้มีการจัดประชุมพิเศษระหว่างกลุ่มเรากับสหายนำระดับสูงๆ ที่อยู่ในประเทศจีนช่วงนั้นหลายคน และหลายครั้ง เพื่อการสนทนาแลกเปลี่ยนและรับฟังความคิดเห็นซึ่งกันและกัน เป็นภาพประทับใจที่ฉันยังจำติดตาจนถึงทุกวันนี้ค่ะ
เพราะนั่นมันคือการจากลากันอย่างอารยะ... เป็นการเคารพความคิดเห็นที่แตกต่างกันอย่างอารยชนพึงกระทำค่ะ/
นั่นคือท่าทีและการปฏิบัติที่มีอานุภาพ หนุนนำให้เราเหลือพื้นที่ในใจที่จะจดจำสิ่งดีๆ ไว้ได้อย่างแม่นยำ...แม้เวลาล่วงเลยตราบนานเท่านาน...และด้วยจิตคารวะอย่างจริงใจค่ะ///

ข้อเขียน ...อันเนื่องมาจาก “กรณี 6 ตุลา” ...รำลึกชีวิตที่รอนแรมในกระบวนการต่อสู้... ก็จบบริบูรณ์เพียงเท่านี้

No comments:

Post a Comment