Sunday, July 22, 2012

การต่อสู้ของฉันเมื่อยาม “ระบบรวน”...


(ชี้แจง -อาการระบบรวนของฉันอาจจะเป็นการเฉพาะตัวนะคะ เขียนเพื่อแลกเปลี่ยนและเล่าสู่กันฟังค่ะ)

########
อาการระบบรวนของฉันที่ก่อปัญหามากคือ อาการหิวและอยากรับประทานอาหารอยู่ตลอดเวลา อาการนี้เคยเกิดขึ้นกับฉันมาหลายครั้งแล้ว และสังเกตได้ว่า จะเกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัดหลังจากรับประทานอาหารเสริมประเภทวิตามิน โดยเฉพาะประเภทวิตามินบีต่างๆ และยาประเภทที่บอกว่าบำรุงกระดูก บำรุงตา บำรุงโน่นบำรุงนี่...
ก็เนื่องจากเราเข้าสู่วัยชรา ร่างกายมันก็เสื่อม...
ล่าสุด ฉันก็ได้รับประทานยาที่ระบุว่าเพื่อบำรุงตา เนื่องจากฉันเกิดมีอาการตาพร่าเวลามองจอคอมพิวเตอร์
ทานยาบำรุงตานี้ไปได้พักเดียว...อาการรวนของระบบการกินก็เกิดขึ้น และกำเริบมากขึ้นเรื่อยๆ
นั่นคือ... อาการหิวและอยากกินโน่นนี่นั่นตลอดเวลา และกินในปริมาณที่มากขึ้นกว่าปกติ
ขอบอกว่า มันเจริญอาหารมากเกินไป... ขณะกินนี่อยู่ก็คิดว่าอยากจะกินโน่นต่อไปอีก...
สิ่งที่ตามมาคืออะไรคงทราบดี
อาการจุกแน่นหลังมื้ออาหารจากการที่ระบบเผาผลาญในร่างกาย และระบบย่อยเสียศูนย์
อาการน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
########
ถามตัวเองว่า นี่ฉันจะต้องแลกดวงตาที่ชัดใส กับการกลับไปเป็น “ยัยหมูอ้วน” อีกหนอย่างนั้นหรือ?
ถามตัวเองอีกว่าคุ้มไหม?
อาการตาพร่าเกิดเนื่องจากเราใช้ตามากเกินไป มองจ้องจอวันละเป็นสิบๆ ชั่วโมง ตามันก็ต้องประท้วงตามธรรมชาติ จริงไหม? เวลานี้ตาฉันนั้น อายุมากกว่าอายุจริงเกือบยี่สิบปี เพราะใช้มันมากเกินพิกัดอัตรา
ความจริงฉันก็มีอาการของโรคอาชีพธรรมดาๆ ค่ะ...
การแก้ไขด้วยการกินวิตามินบำรุงตา ยังไม่ทันเห็นผลว่าตาจะดีขึ้นเพียงใด แต่ผลข้างเคียงปรากฏชัดค่ะ
########
พยายามแก้ไขด้วยการเพิ่มกิจกรรมการออกกำลังกายเข้ามาค่ะ โดยไปว่ายน้ำ และไปเดินที่สวนสาธารณะ
แต่มันก็ยังไม่ได้ช่วยมากนัก กลับดูเหมือนจะเตลิดเปิดเปิงไปมากขึ้นอีก...
นั่นคือ... อาการอ้วน ดำ และปวดเมื่อยเคล็ดขัดยอกไปทั้งตัว อาการปวดหลังและเข่าอักเสบกลับมาใหม่....และยังคงเจริญอาหารเกินพิกัด....
##########
ถึงขนาดนี้...ฉันว่าไม่คุ้มๆ
เพื่อให้ตาไม่พร่ามัวอย่างเดียว แต่ได้ผลข้างเคียงมาเป็นชุดแบบนี้
ฉันจะต้องหยุดวงจรอุบาทว์นี้ค่ะ ฉันจึงหยุดรับประทานยาบำรุงตา และหันมาเลือกหนทางที่สอดรับกับธรรมชาติ ย้ำค่ะ... ยึดแนวธรรมชาติ... ตาเราเมื่อใช้มากๆ ก็ต้องหยุดให้มันได้พักผ่อน ใช้วิธีการกินอาหารที่มีสารอาหารเป็นประโยชน์กับตามากที่สุด ใช้วิธีการหลับตานิ่งๆ และประคบด้วยผ้า หรือเจลอุ่นและเย็น สลับกันไป เป็นต้น
########
สำหรับน้ำหนักของฉันที่เพิ่มขึ้นมาจากการรับประทานยาบำรุงตา ซึ่งไม่ได้ขึ้นมาเองตามธรรมชาติ
ฉันจึงจำเป็นต้องไปหาหมอให้ช่วยหยุดวงจรอุบาทว์นี้เลยทีเดียวค่ะ!
สาบานว่า... จะไม่กินยาบำรุงอะไรอีกแล้ว เข็ดๆๆ

Tuesday, February 28, 2012

ให้เด็กสัมผัสการดนตรีเป็นการขยายการรับรู้ของสมอง


สวัสดีค่ะ วันนี้มีโอกาสเข้ามาเขียนบล็อก ทักทายกับเพื่อนๆ อีกครั้งค่ะ หวังว่าทุกท่านจะสบายดีนะคะ
มีใครรู้สึกหรือมองเห็นว่ามีกระแสไฟฟ้าวิ่ง แปล็บๆ ปล๊าบๆ อยู่ในหัวของเรา หรือของคนอื่นๆ บ้างไหมคะ?
เราเคยเห็นภาพวาดขององค์ศาสดาทางศาสนาหลายศาสนา ที่มีวงแสงสว่างเรืองอยู่รอบๆ พระเศียร...
แสงแบบนั้นอาจจะส่องเรืองออกมาจริงๆ ก็ได้นะ
ทำไมหรือ?
#####
ก็บรรดานักประสาทวิทยา นักวิทยาศาสตร์ที่ค้นคว้าเกี่ยวกับการทำงานของสมองคนเรา บอกว่า ในสมองของคนเรานั้น มีเส้นใยประสาทรับส่งข้อมูลติดต่อประสานกันไปมา โดยผ่านสารเคมีและประจุไฟฟ้าอยู่ตลอดเวลาเลย
ดังนั้น หากใครใช้ความคิดมากๆ สมองก็ยิ่งทำงานหนัก น่าจะมีกระแสประจุไฟฟ้าและสารเคมีวิ่งไปมาอยู่มากมาย จนทำให้มีแสงเรืองออกมาก็เป็นได้...
หรือท่านว่ายังไงคะ?
#######
มีกรณีที่นิยมทำกันมาก เช่น การให้ลูกที่อยู่ในท้องได้ฟังเสียงเพลง และเสียงเล่านิทานของพ่อแม่...
ฉันว่านั่นเป็นสิ่งที่ควรทำอย่างยิ่งเลยค่ะโดยเฉพาะเมื่อลูกในครรภ์มีอายุย่างเข้าเดือนที่ 4-5 เป็นต้นไปค่ะเพราะว่า ในช่วงระยะนี้เอง อวัยวะที่เกี่ยวกับการได้ยินได้พัฒนาขึ้นโดยสมบูรณ์แล้ว
ดังนั้น ทารกจึงพร้อมที่จะรับฟังเสียงต่างๆ ที่เข้าสู่ระบบในลักษณะคลื่นที่มีรูปแบบต่างๆ และสมองก็จะสร้างเซลล์ประสาทขึ้นเพื่อตอบสนองต่อลักษณะของเสียงที่ผ่านเข้ามาและเก็บไว้เป็นข้อมูล
หรือเรียกว่าการสร้าง “แผนที่การได้ยิน” เอาไว้... วาวววว...
#######
ดังนั้น เมื่อเด็กเล็กๆ ได้ยินสำเนียงเสียงต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ยิ่งมากเท่าใด สมองก็จะสร้างเซลล์ประสาทขึ้นรองรับเสียงต่างๆ มากเท่านั้น และการได้ยินยังส่งผลให้เด็กขยับกล้ามเนื้อที่เกี่ยวกับการออกเสียงนั้นๆ ไปโดยอัตโนมัติด้วย
อันนี้ก็มีการพิสูจน์แล้วค่ะ เมื่อเด็กคลอดออกมา เซลล์ประสาทส่วนนี้ของสมองก็มีไขสมองห่อหุ้มเรียบร้อยแล้วค่ะ และก็มีส่วนทำให้เด็กสามารถร้องออกเสียงอุแว๊ๆๆ ได้ไงคะ
ข้อมูลที่สมองเก็บไว้ในลักษณะของเซลล์ประสาทที่เชื่อมต่อกันนี้ เมื่อมีเสียงประเภทเดียวกัน หรือข้อมูลในกลุ่มเดียวกันเข้ามาเพิ่มอย่างต่อเนื่อง ก็จะนำไปสู่การเรียนรู้ทางด้านภาษา และด้านอื่นๆ ของเด็กคนนั้นในเวลาต่อมาค่ะ
#######
มีข้อมูลที่น่าสนใจว่า ภาษาที่คนทั่วโลกพูดกันมีอยู่นับเป็นพันๆ นั้น ประกอบขึ้นจากเสียงที่เปล่งออกมาทั้งหมดเพียงประมาณ 50 เสียงเท่านั้นค่ะ!
ดังนั้น ความกลัวที่ว่า หากเด็กเติบโตในแหล่งที่มีคนพูดหลายๆ ภาษาจะทำให้เด็กสับสนนั้น จึงไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น ในทางตรงกันข้าม น่าจะเป็นฐานที่ดีสำหรับการพัฒนาภาษาในอนาคตของเด็กคนนั้น เพราะสมองมีเซลล์ประสาทรองรับเสียงต่างๆ จำนวนมาก
อย่างไรก็ตาม การสร้างเซลล์ประสาทรับเสียงนี้ดูเหมือนจะเสร็จสมบูรณ์ในช่วงวัยอ่อนมากๆ เท่านั้นค่ะ
#########
อาจสรุปได้ไหมคะว่า...การให้เด็กตั้งแต่อยู่ในครรภ์ (ประมาณ 4-5 เดือนเป็นต้นมา)ได้ยินได้ฟังเสียงที่หลากหลายที่เกิดขึ้นในโลกยิ่งมากยิ่งดี?
ฉันเห็นด้วยอย่างมากค่ะ ท่านล่ะเห็นด้วยไหมคะ?
และฉันเห็นว่าหนทางที่ดีที่สุดที่จะช่วยขยายการรับรู้ทางสมองของเด็ก ก็คือการให้ฟังเสียงดนตรี....
ดนตรีประเภทใดก็ได้ค่ะ ฉันว่าได้ทุกชนิดเลย
และเมื่อเด็กเริ่มเรียนภาษา ก็เริ่มให้เล่นเครื่องดนตรีต่างๆ ที่เค้าชอบไปด้วย
#######
มีผลการศึกษาค้นคว้าจำนวนมากแล้วค่ะ โดยเฉพาะในสหรัฐ ที่ยืนยันว่า การให้เด็กได้ฝึกการดนตรีแต่เล็ก มีผลต่อพัฒนาการของสมองส่วนของการฟัง (Brain’s auditory cortex) อย่างมาก โดยเฉพาะการให้เด็กได้มีโอกาสฝึกเล่นเครื่องดนตรีที่ผสมกันเป็นวง เช่น ออร์เคสตรา หรือกระทั่งวงแบบร็อคก็ได้ พบว่า ผลของมันทำให้สมองส่วนนี้มีขนาดใหญ่ขึ้น ทำให้มีสมาธิและมีความจำดีขึ้น ซึ่งจะเป็นการสร้างฐานสำหรับการเรียนรู้ด้านต่างๆ อย่างกว้างขวางสำหรับเด็ก
อย่างไรก็ตาม ผลการวิจัยบอกว่า หากเป็นการฟังเฉยๆ เช่นฟังดนตรีโมซาร์ท จะไม่ก่อให้เกิดผลเหมือนการฝึกเล่นเครื่องดนตรีโดยตรง
แต่ก็มีผลการศึกษาบางชิ้นบ่งชี้ว่า การฟังดนตรี (โดยไม่ได้ฝึกเล่นเครื่องดนตรี) อาจช่วยในเรื่องของสมาธิการทำข้อสอบที่อาศัยการท่องจำได้ดี อย่างน้อยก็ชั่วระยะสั้นๆ
#######
กล่าวได้เลยว่า ให้เด็กฝึกเล่นเครื่องดนตรี เป็นการสร้างฐานเพื่อการเรียนรู้ของสมองให้แก่เด็กที่ดีมากทางหนึ่งเลยทีเดียวนะคะ
######
โอ๊ะ! เที่ยวนี้เขียนยาวกว่าทุกครั้ง ต้องลาไปก่อนนะคะ
รักคนอ่านเสมอค่ะ

Monday, January 30, 2012

สอนลูกไม่ให้เป็นเด็ก Spoiled!


คุณพ่อคุณแม่เคยนึกกลัวว่าลูกเราจะกลายเป็นเด็ก Spoiled หรือเป็นคุณหนูสำคัญตัวว่าแน่กว่าเพื่อนบ้างไหมคะ?


Avoid being spoiled!
แต่ก็ไม่ต้องการให้ลูกให้กลายเป็น “เบ๊หัวสี่เหลี่ยม” (เป็นผู้รับคำสั่งอย่างเดียว) หรือพวกขาดความมั่นใจในตนเอง ใช่ไหมคะ?

ฉันพบว่า นี่ไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ง่ายๆ เลยละค่ะ

สิ่งต่างๆ มันไม่ยินยอมที่จะเกิดขึ้นตามความปรารถนาของเราอย่างง่ายๆ และโดยทั่วไปมักจะเกิดขึ้นในเงื่อนไขที่ละเอียดอ่อนอย่างมาก... มากเสียจนบางทีไม่มีใครที่จะสามารถจำลองสถานการณ์ เพื่อนำมาสร้างเป็นสูตรสำเร็จได้

แต่...มันก็น่าจะมีหนทางที่พอจะทำได้บ้าง... เช่น การทำให้มันเกิดขึ้นเองอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด

เลี้ยงลูกไม่ให้เป็นเด็ก Spoiled โดยธรรมชาติ ทำอย่างไรเล่า?

เราจะเลี้ยงดูลูกของเราอย่างไร จึงจะทำให้เขาเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่สมบูรณ์แบบอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด

#########

ฉันชอบความสวยงามที่เป็นระเบียบเรียบร้อยอย่างเป็นธรรมชาติ... ฉันคิดว่า หากปล่อยเป็นธรรมชาติเฉยๆ ไม่ช่วยจัดระเบียบ มันก็จะไม่สวยงามนัก มันอาจจะดู เละ-และ-รก-รุงรังค่ะ

 แต่การจัดระเบียบหรือดัดแปลงมากเกินไป สิ่งนั้นก็จะขาดความเป็นธรรมชาติของตัวเองไป มันก็ไม่สวยและไม่ยั่งยืนด้วยค่ะ

ดังนั้น ก่อนอื่น เราต้องชัดเจนว่าเราอยากเห็นลูกของเราเป็นคนอย่างไร (“ลูกในฝัน” ว่างั้นเถอะค่ะ)

ไม่เป็นคุณหนูที่ทำอะไรไม่เป็น ต้องมีคนคอยทำให้ เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ เอาแต่ใจตนเอง อยากได้อะไรก็ต้องได้ ไม่ได้ก็พยศ หรือดูถูกคนอื่น เห็นตัวเองเก่งคนเดียว และอื่นๆ

ลูกในฝันควรจะเป็นคนที่รู้จักประมาณตัวเอง และพยายามรู้จักและศึกษาสิ่งที่ดีจากคนอื่นๆ รู้จักการจัดลำดับความสำคัญของสิ่งต่างๆ รู้จักควบคุมตนเอง รู้จักกาลเทศะ และให้ความนับถือในความเห็นและความเป็นอิสระ-ตัวตนของผู้อื่น แม้กระทั่งผู้ที่มีความเห็นแตกต่างกับตน (ใจกว้าง) ให้โอกาสคนอื่นๆ รู้จักการรอคอยโอกาสของตน เป็นต้น

##############
เมื่อเรามีความชัดเจนเกี่ยวกับคุณสมบัติของลูกในฝันของเราแล้ว ก็มาถึงตอนที่จะทำให้มันเกิดขึ้นในตัวของลูกอย่างเป็นธรรมชาติ นี่แหละค่ะ... จะว่ามันยากก็ยาก จะว่าง่ายก็ได้นะคะ

สิ่งที่ฉันพบและปฏิบัติ เช่น การสนองเงื่อนไขให้ลูกเติบโตในสภาพแวดล้อมที่ดีที่เป็นแม่แบบให้ลูกได้สัมผัสอยู่เป็นกิจวัตร ในนี้พบว่าสภาพในบ้านสำคัญที่สุด คนที่ใกล้ชิดลูกที่สุดมีความสำคัญที่สุด เช่นคุณแม่ต้องไม่เป็นต้นแบบคุณหนูซะเอง หรือคุณพ่อไม่เป็นต้นแบบที่แสดงตัวว่า “ข้าแน่” หรือในทางตรงกันข้าม “ยอมเค้า” อยู่เรื่อย... ไรพวกนี้นะคะ

 เพราะลูกจะซึมซับนิสัยใจคอของคนใกล้ชิด และถือเป็นแม่แบบของตนโดยไม่รู้ตัว

การรู้จักตนเองก็มาจากการที่มีคนคอยพูดคุยบอกเล่า เรื่องราวเกี่ยวกับตัวตนของเค้าให้ได้ฟังเสมอๆ โดยเฉพาะเรื่องที่มีความสำคัญมีความหมาย มีความสนุกสนานน่ายินดี ส่งเสริมการสร้างนิสัยที่ดีต่างๆ เล่าเป็นนิทานเลยก็ยิ่งดีค่ะ

ส่วนเรื่องที่เกี่ยวกับการเห็นความสำคัญของตนเองและผู้อื่นๆ และรู้จักกาลเทศะ รู้จักรอคอยจังหวะและโอกาสที่ดีของตัวเอง เหล่านี้เป็นเรื่องที่ลูกจะรู้จักปรับตัวต่อโลกภายนอก

ฉันพบว่า การให้ลูกมีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมเป็นกลุ่ม –เน้นกิจกรรมเป็นกลุ่มค่ะ- จะช่วยได้มาก อย่างเช่นการเล่นกีฬาเป็นทีม เช่น ฟุตบอล บาสเก็ตบอล หรือเข้าร่วมการเล่นดนตรีเป็นวงใหญ่ๆ เช่น วงโยธวาทิต หรือซิมโฟนิก แบนด์ของโรงเรียน เป็นต้น

###########

ฉันค่อนข้างเชื่อว่า กิจกรรมดังกล่าวข้างต้นจะช่วยเสริมสร้างลักษณะนิสัยที่ดีและจิตใจที่กว้างขึ้นให้แก่เด็ก...

เพราะอย่างการเล่นดนตรีเป็นวงใหญ่ หากสมาชิกในวงไม่เห็นความสำคัญของเพื่อนในวง ก็วงแตก หรือขาดการติดตามเวลาคนอื่นทำหน้าที่ของตน ก็ไม่สามารถรู้ว่าจังหวะของตนอยู่ตรงไหน การเล่นดนตรีก็ล้มเหลว เด็กจึงได้รับการฝึกฝนกล่อมเกลานิสัยและจิตใจจากกิจกรรมแบบนี้อย่างมาก

ที่กล่าวมาเป็นเพียงตัวอย่างเล็กน้อย น่าจะยังมีทางอื่นๆ อีกที่จะทำให้ลูกๆ ของเราห่างจากการเป็นคุณหนู และการสำคัญว่าตัวเองเก่งกว่าเพื่อน...

จึงขอแลกเปลี่ยนทัศนะกันมา ณ ที่นี้ด้วยรักและนับถือค่ะ...

Sunday, October 16, 2011

เดือนตุลาคมนี่... จริงๆ เลย...!


...ว่าจะไม่คิดไม่เขียนอะไรทั้งสิ้น แต่ก็ไม่รู้ทำไมจึงต้องเขียนจนได้...

ทำไมนะชีวิตของเราจึงต้องมาเกี่ยวข้องกับเดือนตุลาคมอยู่เรื่อยๆ จนน่าเบื่อ ...

แต่ก็เอาเถอะนะ... เพื่อนๆ และผู้อ่านก็ทนอ่านกันหน่อยนะคะ ไหนๆ ก็ไหนๆ เพราะว่า...
ตุลาคมนี้...ไม่เหมือนก่อนๆ...

...นอกจากบรรยากาศจะขมุกขมัว ฝนก็เทลงมาเหมือนบ้าคลั่งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แถมเคราะห์ซ้ำกรรมซัด น้ำก็ดันท่วมบ้านเรือนผู้คนเดือนร้อนอย่างหนักหนาสาหัส ฉันเองก็กำลังต้องทรมานกับอาการหลังแข็งก้มยาก คอเคล็ด ขาและไหล่ปวดเมื่อย (จากการยกดึงลากกระสอบทรายที่หนักเกิน และแพงเกิน) มันเป็นเดือนตุลาคมที่เครียดมากๆ อยู่แล้ว...!

เจ้ายังงามสง่าสมศักดิ์ศรีของนางนวลขาว
แต่เดือนตุลาคมปีนี้ ฉันยังได้พบเรื่องที่ต้องยิ้มทั้งน้ำตาอีกด้วยค่ะ...
ก็จะไม่ยิ้มทั้งน้ำตาได้อย่างไร ในเมื่อมันได้เป็นเดือนที่ลูกคนโตของฉันกลับมา...
หลังจากที่ได้ออกไปบินท่องโลกภายนอกอยู่ 3 ปีกว่าๆ... ลูกกลับมาค่ะ...
ลูกนางนวลน้อยสีขาว... บินกลับมา... เติบโตขึ้นและยังงามสง่าสมศักดิ์ศรีของเจ้านางนวล...
สำรวจดูปีกหางยังอยู่ครบถ้วนและดูแข็งแรงกว่าเดิม พระได้คุ้มครองนกน้อยตัวนี้...

พักเหนื่อยก่อนที่บ้านของเรานะจ๊ะ...
การกลับมาสู่อ้อมแขนของกันและกันสำหรับลูกและครอบครัวของเรา เป็นสิ่งที่มีความหมาย...มีเรื่องราว... มันเป็น Moment of Truth ที่ตราตรึงอยู่ในชีวิตของเรา...
ภาพที่ยังตราตรึงในใจ... เป็นเงื่อนปมที่ไม่เคยคลี่คลายลบเลือนออกไปจากใจของฉัน... เมื่อเดือนตุลาคม... 35 ปีที่แล้ว ลูกคนนี้นั่งบนตักพี่เลี้ยง โบกมือให้พ่อกับแม่ขณะถอยรถออกจากบ้านไปทำงานตอนเช้าตามปกติ... โดยไม่มีใครคาดคิดว่า... จากเช้าวันนั้น... เราจะไม่ได้เห็นหน้ากันอีกเป็นเวลาเกือบ 5 ปีติดต่อกัน...
...นั่นเป็นเพียงเพราะว่า...ทั้งพ่อและแม่คิดว่าความเสมอภาคเท่าเทียมและสิทธิในการเลือกนั้นควรอยู่คู่กับมวลมนุษยชาติ... หาไม่แล้วการเกิดขึ้นของเราก็คือความว่างเปล่า...  

ณ ตรงนี้ ฉันยังต้องขอขอบคุณ คุณอา คุณปู่คุณย่า คุณลุงคุณป้าทั้งหลายของเธอ ที่เมตตาให้ความรักความอบอุ่น และเป็นกำลังใจอย่างสำคัญให้เธอสามารถรอคอยการกลับมาของพ่อแม่อย่างเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว... ขอขอบคุณ
จึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไม...ลูกคนนี้เธอจึงผูกพันกับพี่ป้าน้าอาประดุจดั่งพ่อแม่ของเธอ... และเราก็ยังต้องขอบคุณที่ทุกๆ ท่านไม่เคยทำให้เธอนั้นหมดศรัทธาต่อพ่อแม่ของตัวเอง...

...30 ปีมาแล้ว... ฉันไม่เคยลืมวินาทีเต็มตื้นที่ได้พบลูก... และที่มันไม่ใช่ความฝันที่จะหายไปเมื่อลืมตาตื่นขึ้นอีกต่อไป... นั่นคือการกลับสู่อ้อมแขนครั้งแรกของเราค่ะ! The Moment of Truth!

ครั้งนั้น แม้ฉันจะกลับมาอย่างนักรบที่ปราศจากเหรียญตรา... แต่ก็ไม่มีอะไรที่จะสำคัญสำหรับฉันมากไปกว่าที่ครอบครัวของเราได้กลับมาพร้อมหน้ากันอีกครั้ง...

ฉันนั้นเชื่อมั่นในครอบครัว เท่าๆ กับความเชื่อมั่นในประชาธิปไตย และสำนึกเสมอว่าตำแหน่งของแม่มีหน้าที่สำคัญในการรักษาครอบครัวเป็นอันดับแรก... นอกเหนือจากการทำงานอาชีพหรือสิ่งที่รักที่ชอบ...

 ตุลาคมนี้ไม่เหมือนก่อนจริงๆ ลูกของฉันกลับมา และกำลังจะโผบินอย่างสง่างามขึ้นสู่ท้องฟ้าอีกครั้งหนึ่งด้วยปีกที่แข็งแรง และใจที่แกร่งกล้าและมั่นคงแน่วแน่กว่าเดิม...

จงบินไปดั่งที่ใจปรารถนา...
และจงรู้ไว้...ไม่ว่ายามสุขหรือทุกข์ จะยังมีตัวตนของแม่หรือไม่มีแล้วก็ตาม... ใจที่รักลูกจะยังอยู่เช่นนี้เสมอไป...
...