Monday, January 30, 2012

สอนลูกไม่ให้เป็นเด็ก Spoiled!


คุณพ่อคุณแม่เคยนึกกลัวว่าลูกเราจะกลายเป็นเด็ก Spoiled หรือเป็นคุณหนูสำคัญตัวว่าแน่กว่าเพื่อนบ้างไหมคะ?


Avoid being spoiled!
แต่ก็ไม่ต้องการให้ลูกให้กลายเป็น “เบ๊หัวสี่เหลี่ยม” (เป็นผู้รับคำสั่งอย่างเดียว) หรือพวกขาดความมั่นใจในตนเอง ใช่ไหมคะ?

ฉันพบว่า นี่ไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ง่ายๆ เลยละค่ะ

สิ่งต่างๆ มันไม่ยินยอมที่จะเกิดขึ้นตามความปรารถนาของเราอย่างง่ายๆ และโดยทั่วไปมักจะเกิดขึ้นในเงื่อนไขที่ละเอียดอ่อนอย่างมาก... มากเสียจนบางทีไม่มีใครที่จะสามารถจำลองสถานการณ์ เพื่อนำมาสร้างเป็นสูตรสำเร็จได้

แต่...มันก็น่าจะมีหนทางที่พอจะทำได้บ้าง... เช่น การทำให้มันเกิดขึ้นเองอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด

เลี้ยงลูกไม่ให้เป็นเด็ก Spoiled โดยธรรมชาติ ทำอย่างไรเล่า?

เราจะเลี้ยงดูลูกของเราอย่างไร จึงจะทำให้เขาเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่สมบูรณ์แบบอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด

#########

ฉันชอบความสวยงามที่เป็นระเบียบเรียบร้อยอย่างเป็นธรรมชาติ... ฉันคิดว่า หากปล่อยเป็นธรรมชาติเฉยๆ ไม่ช่วยจัดระเบียบ มันก็จะไม่สวยงามนัก มันอาจจะดู เละ-และ-รก-รุงรังค่ะ

 แต่การจัดระเบียบหรือดัดแปลงมากเกินไป สิ่งนั้นก็จะขาดความเป็นธรรมชาติของตัวเองไป มันก็ไม่สวยและไม่ยั่งยืนด้วยค่ะ

ดังนั้น ก่อนอื่น เราต้องชัดเจนว่าเราอยากเห็นลูกของเราเป็นคนอย่างไร (“ลูกในฝัน” ว่างั้นเถอะค่ะ)

ไม่เป็นคุณหนูที่ทำอะไรไม่เป็น ต้องมีคนคอยทำให้ เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ เอาแต่ใจตนเอง อยากได้อะไรก็ต้องได้ ไม่ได้ก็พยศ หรือดูถูกคนอื่น เห็นตัวเองเก่งคนเดียว และอื่นๆ

ลูกในฝันควรจะเป็นคนที่รู้จักประมาณตัวเอง และพยายามรู้จักและศึกษาสิ่งที่ดีจากคนอื่นๆ รู้จักการจัดลำดับความสำคัญของสิ่งต่างๆ รู้จักควบคุมตนเอง รู้จักกาลเทศะ และให้ความนับถือในความเห็นและความเป็นอิสระ-ตัวตนของผู้อื่น แม้กระทั่งผู้ที่มีความเห็นแตกต่างกับตน (ใจกว้าง) ให้โอกาสคนอื่นๆ รู้จักการรอคอยโอกาสของตน เป็นต้น

##############
เมื่อเรามีความชัดเจนเกี่ยวกับคุณสมบัติของลูกในฝันของเราแล้ว ก็มาถึงตอนที่จะทำให้มันเกิดขึ้นในตัวของลูกอย่างเป็นธรรมชาติ นี่แหละค่ะ... จะว่ามันยากก็ยาก จะว่าง่ายก็ได้นะคะ

สิ่งที่ฉันพบและปฏิบัติ เช่น การสนองเงื่อนไขให้ลูกเติบโตในสภาพแวดล้อมที่ดีที่เป็นแม่แบบให้ลูกได้สัมผัสอยู่เป็นกิจวัตร ในนี้พบว่าสภาพในบ้านสำคัญที่สุด คนที่ใกล้ชิดลูกที่สุดมีความสำคัญที่สุด เช่นคุณแม่ต้องไม่เป็นต้นแบบคุณหนูซะเอง หรือคุณพ่อไม่เป็นต้นแบบที่แสดงตัวว่า “ข้าแน่” หรือในทางตรงกันข้าม “ยอมเค้า” อยู่เรื่อย... ไรพวกนี้นะคะ

 เพราะลูกจะซึมซับนิสัยใจคอของคนใกล้ชิด และถือเป็นแม่แบบของตนโดยไม่รู้ตัว

การรู้จักตนเองก็มาจากการที่มีคนคอยพูดคุยบอกเล่า เรื่องราวเกี่ยวกับตัวตนของเค้าให้ได้ฟังเสมอๆ โดยเฉพาะเรื่องที่มีความสำคัญมีความหมาย มีความสนุกสนานน่ายินดี ส่งเสริมการสร้างนิสัยที่ดีต่างๆ เล่าเป็นนิทานเลยก็ยิ่งดีค่ะ

ส่วนเรื่องที่เกี่ยวกับการเห็นความสำคัญของตนเองและผู้อื่นๆ และรู้จักกาลเทศะ รู้จักรอคอยจังหวะและโอกาสที่ดีของตัวเอง เหล่านี้เป็นเรื่องที่ลูกจะรู้จักปรับตัวต่อโลกภายนอก

ฉันพบว่า การให้ลูกมีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมเป็นกลุ่ม –เน้นกิจกรรมเป็นกลุ่มค่ะ- จะช่วยได้มาก อย่างเช่นการเล่นกีฬาเป็นทีม เช่น ฟุตบอล บาสเก็ตบอล หรือเข้าร่วมการเล่นดนตรีเป็นวงใหญ่ๆ เช่น วงโยธวาทิต หรือซิมโฟนิก แบนด์ของโรงเรียน เป็นต้น

###########

ฉันค่อนข้างเชื่อว่า กิจกรรมดังกล่าวข้างต้นจะช่วยเสริมสร้างลักษณะนิสัยที่ดีและจิตใจที่กว้างขึ้นให้แก่เด็ก...

เพราะอย่างการเล่นดนตรีเป็นวงใหญ่ หากสมาชิกในวงไม่เห็นความสำคัญของเพื่อนในวง ก็วงแตก หรือขาดการติดตามเวลาคนอื่นทำหน้าที่ของตน ก็ไม่สามารถรู้ว่าจังหวะของตนอยู่ตรงไหน การเล่นดนตรีก็ล้มเหลว เด็กจึงได้รับการฝึกฝนกล่อมเกลานิสัยและจิตใจจากกิจกรรมแบบนี้อย่างมาก

ที่กล่าวมาเป็นเพียงตัวอย่างเล็กน้อย น่าจะยังมีทางอื่นๆ อีกที่จะทำให้ลูกๆ ของเราห่างจากการเป็นคุณหนู และการสำคัญว่าตัวเองเก่งกว่าเพื่อน...

จึงขอแลกเปลี่ยนทัศนะกันมา ณ ที่นี้ด้วยรักและนับถือค่ะ...

Sunday, October 16, 2011

เดือนตุลาคมนี่... จริงๆ เลย...!


...ว่าจะไม่คิดไม่เขียนอะไรทั้งสิ้น แต่ก็ไม่รู้ทำไมจึงต้องเขียนจนได้...

ทำไมนะชีวิตของเราจึงต้องมาเกี่ยวข้องกับเดือนตุลาคมอยู่เรื่อยๆ จนน่าเบื่อ ...

แต่ก็เอาเถอะนะ... เพื่อนๆ และผู้อ่านก็ทนอ่านกันหน่อยนะคะ ไหนๆ ก็ไหนๆ เพราะว่า...
ตุลาคมนี้...ไม่เหมือนก่อนๆ...

...นอกจากบรรยากาศจะขมุกขมัว ฝนก็เทลงมาเหมือนบ้าคลั่งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แถมเคราะห์ซ้ำกรรมซัด น้ำก็ดันท่วมบ้านเรือนผู้คนเดือนร้อนอย่างหนักหนาสาหัส ฉันเองก็กำลังต้องทรมานกับอาการหลังแข็งก้มยาก คอเคล็ด ขาและไหล่ปวดเมื่อย (จากการยกดึงลากกระสอบทรายที่หนักเกิน และแพงเกิน) มันเป็นเดือนตุลาคมที่เครียดมากๆ อยู่แล้ว...!

เจ้ายังงามสง่าสมศักดิ์ศรีของนางนวลขาว
แต่เดือนตุลาคมปีนี้ ฉันยังได้พบเรื่องที่ต้องยิ้มทั้งน้ำตาอีกด้วยค่ะ...
ก็จะไม่ยิ้มทั้งน้ำตาได้อย่างไร ในเมื่อมันได้เป็นเดือนที่ลูกคนโตของฉันกลับมา...
หลังจากที่ได้ออกไปบินท่องโลกภายนอกอยู่ 3 ปีกว่าๆ... ลูกกลับมาค่ะ...
ลูกนางนวลน้อยสีขาว... บินกลับมา... เติบโตขึ้นและยังงามสง่าสมศักดิ์ศรีของเจ้านางนวล...
สำรวจดูปีกหางยังอยู่ครบถ้วนและดูแข็งแรงกว่าเดิม พระได้คุ้มครองนกน้อยตัวนี้...

พักเหนื่อยก่อนที่บ้านของเรานะจ๊ะ...
การกลับมาสู่อ้อมแขนของกันและกันสำหรับลูกและครอบครัวของเรา เป็นสิ่งที่มีความหมาย...มีเรื่องราว... มันเป็น Moment of Truth ที่ตราตรึงอยู่ในชีวิตของเรา...
ภาพที่ยังตราตรึงในใจ... เป็นเงื่อนปมที่ไม่เคยคลี่คลายลบเลือนออกไปจากใจของฉัน... เมื่อเดือนตุลาคม... 35 ปีที่แล้ว ลูกคนนี้นั่งบนตักพี่เลี้ยง โบกมือให้พ่อกับแม่ขณะถอยรถออกจากบ้านไปทำงานตอนเช้าตามปกติ... โดยไม่มีใครคาดคิดว่า... จากเช้าวันนั้น... เราจะไม่ได้เห็นหน้ากันอีกเป็นเวลาเกือบ 5 ปีติดต่อกัน...
...นั่นเป็นเพียงเพราะว่า...ทั้งพ่อและแม่คิดว่าความเสมอภาคเท่าเทียมและสิทธิในการเลือกนั้นควรอยู่คู่กับมวลมนุษยชาติ... หาไม่แล้วการเกิดขึ้นของเราก็คือความว่างเปล่า...  

ณ ตรงนี้ ฉันยังต้องขอขอบคุณ คุณอา คุณปู่คุณย่า คุณลุงคุณป้าทั้งหลายของเธอ ที่เมตตาให้ความรักความอบอุ่น และเป็นกำลังใจอย่างสำคัญให้เธอสามารถรอคอยการกลับมาของพ่อแม่อย่างเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว... ขอขอบคุณ
จึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไม...ลูกคนนี้เธอจึงผูกพันกับพี่ป้าน้าอาประดุจดั่งพ่อแม่ของเธอ... และเราก็ยังต้องขอบคุณที่ทุกๆ ท่านไม่เคยทำให้เธอนั้นหมดศรัทธาต่อพ่อแม่ของตัวเอง...

...30 ปีมาแล้ว... ฉันไม่เคยลืมวินาทีเต็มตื้นที่ได้พบลูก... และที่มันไม่ใช่ความฝันที่จะหายไปเมื่อลืมตาตื่นขึ้นอีกต่อไป... นั่นคือการกลับสู่อ้อมแขนครั้งแรกของเราค่ะ! The Moment of Truth!

ครั้งนั้น แม้ฉันจะกลับมาอย่างนักรบที่ปราศจากเหรียญตรา... แต่ก็ไม่มีอะไรที่จะสำคัญสำหรับฉันมากไปกว่าที่ครอบครัวของเราได้กลับมาพร้อมหน้ากันอีกครั้ง...

ฉันนั้นเชื่อมั่นในครอบครัว เท่าๆ กับความเชื่อมั่นในประชาธิปไตย และสำนึกเสมอว่าตำแหน่งของแม่มีหน้าที่สำคัญในการรักษาครอบครัวเป็นอันดับแรก... นอกเหนือจากการทำงานอาชีพหรือสิ่งที่รักที่ชอบ...

 ตุลาคมนี้ไม่เหมือนก่อนจริงๆ ลูกของฉันกลับมา และกำลังจะโผบินอย่างสง่างามขึ้นสู่ท้องฟ้าอีกครั้งหนึ่งด้วยปีกที่แข็งแรง และใจที่แกร่งกล้าและมั่นคงแน่วแน่กว่าเดิม...

จงบินไปดั่งที่ใจปรารถนา...
และจงรู้ไว้...ไม่ว่ายามสุขหรือทุกข์ จะยังมีตัวตนของแม่หรือไม่มีแล้วก็ตาม... ใจที่รักลูกจะยังอยู่เช่นนี้เสมอไป...
...

Wednesday, August 31, 2011

มาแปลงโฉม "ยัยหมูอ้วน" กัน


ฉันเคยเป็น “ยัยหมูอ้วน” หลายครั้งในชีวิตที่ผ่านมาค่ะ ...คุณก็อาจจะเคยใช่ไหมคะ?

เช่น ตอนหลังจากคลอดลูกแต่ละคน แต่ที่สำคัญจากงานอาชีพที่นั่งอยู่กับที่นานๆ ใช้สมองเป็นสำคัญ พูดง่ายๆ คือพวกนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรืออยู่กับกองหนังสือ / เอกสาร หรืออะไรจำพวกนี้...

สิ่งที่ได้พยายามทำ เพื่อให้น้ำหนักตัวกลับมาอยู่ ณ จุดที่พอใจ สบายตัว

เช่น ไปโรงยิม เข้าคอร์สออกกำลังกาย ว่ายน้ำ แอโรบิค เล่นเครื่องทรมานสังขารด้วยวิธีการต่างๆ เอาถุงทรายผูกขายกค้างนับช้าๆ ไปเรื่อยๆ ห้อยหัว ยกเวท นวด ตบ ตี อบไอน้ำ พันร้อน นอนเครื่องดัดกาย ควบคุมอาหารตามคำแนะนำของนักโภชนาการ ภายใต้การควบคุมดูแลของหมอ ทำดีท็อกซ์ ล้างตับไตไส้พุง สวนกาแฟ หรือโค-ลอน เธ-ราปี่ ฯลฯ

หมดคอร์ส อยู่ได้ไม่นาน ก็กลับไปเป็น “ยัยหมูอ้วน” อีก...ครั้งแล้วครั้งเล่า...

ปลอบใจตัวเองว่า... เมื่ออายุมากขึ้นคนเราก็ต้องมีน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นเป็นธรรมด้า... ธรรมดา...

แต่... เห็นตัวเองในกระจกทีไร ก็รู้สึกว่า “ยัยหมูอ้วน” นี่น่าเกลียดขึ้นทุกวัน... สวมใส่เสื้อผ้าอะไรก็มักต้องถอดออกเปลี่ยนใหม่... พอทำน้ำหนักลดลงได้หน่อยก็ดีใจ ไชโย ไปปล่อยผี สวาปามของอร่อยที่ไม่ได้กินมานาน... อ่าววันนี้รู้สึกคับอีกแล้ว... ทำอยู่อย่างนั้น เป็นอยู่อย่างนั้น...

อยู่มาวันหนึ่ง... หลังเสร็จงานชิ้นใหญ่ที่ต้องหามรุ่งหามค่ำอยู่หลายวัน เก็บกวาดพวกขวดโหลขนมขบเคี้ยวออกจากห้องหลายใบ เหยือกแก้วน้ำถ้วยกาแฟ กาน้ำชาที่วางอยู่รอบกาย ...รวบรวมความกล้า ก้าวขึ้นไปยืนบนเครื่องชั่งน้ำหนัก ปรากฏว่า เข็มเครื่องชั่งน้ำหนักกระดิกเลยเลข 7 ไปเลย...

ช็อก และมองทะลุเห็นโรคร้ายต่างๆ ที่จะตามมากับตัวเลขน้ำหนักตัวที่กระดิกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นั้น

ไม่ต้องสงสัยอีกเลย... บอกตัวเองว่า “เราคือคนป่วย

โรคนี้ไม่ใช่ธรรมดา เป็นโรคเรื้อรัง หากขืนปล่อยไปตามยถากรรม ทั้งเนื้อทั้งตัวของเราจะไม่ใช่เราอีกต่อไป เราจะกลายเป็นพวกเครื่องดื่ม ขนมขบเคี้ยวและของคาว / หวานที่เดินได้ และจะเดินได้เชื่องช้าลงเรื่อยๆ

เมื่อป่วยก็ต้องรักษาค่ะ และนี่ก็คือ... จุดเริ่มต้นของการแปลงโฉม “ยัยหมูอ้วน” คนนี้ค่ะ...

ปรากฏว่า เมื่อฉันเริ่มต้นจากความตระหนัก การยอมรับเข้าใจอย่างลึกว่า ทำไมเราจึงต้องเอาน้ำหนักลงไป เอาตัวตนที่แท้จริงของเรากลับคืนมา ฉันกลับพบว่า วิธีการที่เราใช้มันง่ายมาก เลือกให้เหมาะกับตัวเรา และคิดว่าแต่ละคนไม่น่าจะใช้สูตรสำเร็จที่เหมือนกันได้ เช่น ฉันใช้การเลือกกินอาหารอยู่รอบแกนของสูตร “อาหารตามกรุ๊ปเลือด” และไม่งดอาหารชนิดใดเลย เพราะไม่ได้เป็นโรคประจำตัวร้ายแรงอะไร

แต่... มีหลักการที่สำคัญอันหนึ่ง ที่ฉันคิดว่าน่าจะใช้ได้ทั่วไป นั่นคือ...

หลักการกินอาหารในปริมาณที่น้อยลงจากที่เราเคยกิน (แบบไม่มี Limit อร่อยก็ฟาดไม่ยั้ง...) โดยลดลงอย่างน้อย 1 ใน 3 ถึงครึ่งหนึ่งของที่เคยกินค่ะ สิ่งที่ต้องถือเคร่งครัดอย่างเดียว คือวินัยการกินน้อย...

...จงมีความสุขกับการกินน้อย...แต่ไม่ใช่การอดอาหาร...กินทุกอย่างในปริมาณน้อย กินช้าๆ เคี้ยวนานๆ ซึมซับกลิ่นรสของอาหารให้เต็มที่...

จากนี้จะพบว่า เราสามารถกินอาหารทุกอย่างในโลกนี้ที่มนุษย์กินได้ แม้กระทั่งอาหารที่เค้าเรียกว่า อาหารขยะ หรือ อาหารที่ไม่ถูกกับกรุ๊ปเลือดของเรา ร่างกายเราจะได้รู้จักกับคู่ขัดแย้ง ระบบภูมิคุ้มกันของเราจะได้ทำงานบ้างไง...

อย่างไรก็ตาม ควรกินอาหารดีๆ เป็นหลัก กินเป็นเวลา อย่าปล่อยให้ร่างกายหิวโหยเกินไป ควรพกอาหารประเภทอัดแท่งดีๆ ติดตัวไว้เสมอ และฉันมักให้อาหารมื้อเย็นเป็นมื้อที่เบาที่สุดในแต่ละวัน  

เราจะพบว่าน้ำหนักตัวของเราค่อยๆ ลดลงไปเองเรื่อยๆ... โดยไม่มีอาการง่อยเปลี้ยเสียขาใดๆ

ไม่ต้องสงสัยนะคะ น้ำหนักที่ลดลงไปนั้นคือน้ำหนักส่วนเกินที่เราทำกับตัวเองไว้...

เราอาจสามารถกำหนดน้ำหนักต่ำสุด / สูงสุดของเราไว้ก็ได้  โดยดูจากลักษณะรูปร่าง ส่วนสูงและที่สำคัญโครงสร้างกับมวลกระดูกของตัวเรา ซึ่งมันจะเป็นตัวแปรในการกำหนดน้ำหนักฐานของเราที่แตกต่างจากคนอื่นๆค่ะ  

ฉันสามารถทำให้น้ำหนักตัวลดลงไปได้เกือบ 10 กิโลกรัม ในเวลาเพียงไม่กี่เดือน และมีน้ำหนักที่คงตัวมาอย่างต่อเนื่อง ไม่สวิงตัวขึ้น / ลง กลับไปมามาเป็นปีแล้วค่ะ

ดูเหมือนว่า ระบบการเผาผลาญในร่างกาย (Metabolism) ก็ได้ปรับเปลี่ยน มารับกับนิสัยการกินที่เราสร้างขึ้นใหม่ รวมทั้งกระเพาะอาหารของเราก็ปรับกระชับขนาดให้เหมาะกับปริมาณอาหารที่เราใส่เข้าไปในแต่ละมื้อ พุงของเราก็ยุบราบเรียบลงมาเอง ทำให้เราสามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้คล่องแคล่วมากขึ้นค่ะ หลังก็ตรงขึ้นเพราะไม่ต้องแบกน้ำหนักพุง

วันนี้นำประสบการณ์ตรงมาแลกเปลี่ยนกันเท่านี้ก่อนนะคะ ยังมีรายละเอียดนอกเหนือจากนี้อีกค่ะ จะนำมาแลกเปลี่ยนวันหลังนะคะ เช่น การปรับท่วงทำนองการทำงาน การบริหารร่างกาย การเล่นงานอดิเรกต่างๆ ค่ะ
หากเพื่อนๆ หรือท่านใดมีประสบการณ์น่าสนใจ เขียนเข้ามาสิคะ แลกเปลี่ยนกันให้กระจายไปเลย...

(*สำหรับท่านที่สนใจเรื่องการสร้างนิสัยการกินน้อย ทำอย่างไร โปรดติดตามที่ http://visarbha.wordpress.com ในThe Why of My Favorites (27) ได้ด้วยนะคะ เชิญค่าาา**)

ด้วยรักคนอ่านเสมอมาและเสมอไป - สวัสดีค่ะ

Monday, February 14, 2011

คนที่สามารถสื่อสารได้สองภาษาขึ้นไปตั้งแต่เด็กมักมีพลังสมองที่ดีพิเศษ

Individuals with highly proficient in a second language showed a markedly better mental power!
Thoughtful Chili Paste



สวัสดีค่ะ เพื่อนชาวบล็อก และท่านที่สนใจเข้ามาอ่านเรื่องราวในบล็อกนี้

ที่บล็อกนี้ ฉันจะเข้ามาเขียน เมื่อใคร่ที่จะสนทนาแลกเปลี่ยนในเรื่องสำคัญๆ (บางทีก็ไม่ถึงกะสำคัญ แค่น่าสนใจนะคะ) เกี่ยวกับตัวมนุษย์เราและสังคมของเราค่ะ คราวนี้มีเรื่องที่น่าสนใจเกี่ยวกับการเรียนรู้ภาษา ทเชื่อมโยงถึงพัฒนาการของสมองของคนเรานะคะ…


Alternated Brain Food for you...

Punctilious Casing Present

แต่ดั้งเดิมเราเคยได้ยินมาว่าการเรียนรู้ภาษานั้นต้องเรียนตอนเด็กๆ หากมาเรียนตอนโตแล้วจะยากขึ้น เรายอมรับว่ามันเป็นจริงโดยข้อมูลที่ประจักษ์ทั้งแก่ตัวเราเอง และผู้คนรอบข้าง อย่างตัวเรามาเรียนภาษาฝรั่งเศส ตอนขึ้นชั้นมัธยมปลาย อายุก็ราวๆ 16-17 ปี ที่เข้าเรียกว่านักเรียนศิลป์ฝรั่งเศส และต่อเนื่องจนถึง เข้ามหาวิทยาลัยปีหนึ่งปีสอง ก็เลือกเรียนภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาที่สาม รวมแล้วสัมผัสภาษาฝรั่งเศสอยู่ถึง 4 ปี มีอาจารย์ชาวฝรั่งเศสมาสอนด้วยตอนมหาลัย เข้าแล็บภาษา ดูภาพยนตร์ในคลาส ชั่วโมงอิสตัวร์ เดอ ฟรองส์ อาจารย์เล่นเล็คเชอร์เป็นภาษาฝรั่งเศสล้วน แถมไปอาลิอองฟรองเซส์เมื่อมีหนังดีๆ มาฉายด้วยนะคะ  ก็ยังรู้สึกว่าตัวเอง งูๆ ปลาๆ ตอนเรียนชั้นมัธยมอาจารย์ให้ผันแว็ป โดนหยิกจนแขนเป็นแนว ถึงตอนนี้จำได้แต่โดนหยิก แต่จำไม่ได้ว่าแว็ปที่ถูกให้คัดเป็นหน้าๆ เหล่านั้น เป็นตัวอะไรบ้าง…
อย่างไรก็ตาม ก็ไม่ได้หมายความว่า เรียนภาษาตอนโตจะไม่สามารถรู้ภาษานั้นๆ ได้ นะคะ แม้โตแล้ว เราก็ยังสามารถเรียนรู้และพูดภาษานั้นได้ ยิ่งหากเราได้ไปอยู่ในพื้นที่ที่คนใช้ภาษานั้นๆ เป็นภาษาที่หนึ่ง เราก็จะสามารถเรียนรู้และใช้ภาษานั้นๆ ได้คล่องแคล่ว… แต่… ความหมายที่ว่าเรียนตอนโตยากนั้น ที่สำคัญก็คือ เราจะไม่มีวันเรียนรู้หรือใช้ภาษานั้นๆ ได้ดุจดังเจ้าของภาษานั่นเองค่ะ… (นี่ก็เป็นข้อสรุปทั่วไปอีกนะคะ ในนี้ก็อาจจะมียกเว้น อาจมีคนพิเศษทำได)้
เราจะคุยกันบนข้อสรุปทั่วไปนะคะ เพราะเราจะพบว่า โดยทั่วไปหากใครเติบโตในถิ่นที่พูดภาษาใด ก็จะสามารถพูดและรู้ภาษานั้นๆ เหมือนเจ้าของภาษา แม้ว่าตอนโตจะย้ายไปที่อื่นที่ใช้ภาษาอื่น แต่ภาษาที่เรียนรู้มาแต่เด็กก็จะยังคงอยู่…

มีผู้สงสัยเหมือนเรา และก็ไปศึกษาค้นคว้า โดยที่ว่าสมัยนี้เรามีความรู้เรื่องการทำงานของสมองมากขึ้น รวมทั้งกลไกการทำงานของอวัยวะต่างๆ ของร่างกายเราอย่างมาก …
จึงมีการพบว่า คนเราในวัยเด็กเล็ก กับตอนที่โตแล้ว จะมีการเรียนรู้ภาษาที่ต่างกัน เด็กเล็กจะเรียนรู้ภาษารวมทั้งสิ่งต่างๆ รอบตัว โดยสัญชาตญาณ หรือโดยจิตใต้สำนึก เป็นปฏิกิริยาทางธรรมชาติ จึงสามารถเรียนได้รวดเร็วโดยไม่ต้องใช้ความพยายามมากมาย เค้าบอกว่า สมองของเด็กเล็กๆ ยังไม่ได้สร้างความสามารถในการคิดแบบเป็นเหตุเป็นผลขึ้นมา จึงทำให้การเรียนรู้สิ่งต่างๆ ลื่นไหลไปอย่างรวดเร็ว พอหลังจากอายุประมาณ 3 ขวบปี สมองจึงเริ่มการคิดเป็นเหตุเป็นผล และเริ่มมีจิตสำนึกต่างๆ การรับรู้ภาษาที่ไม่คุ้นเคยก็จะเริ่มยากขึ้น แต่ก็ยังมีศักยภาพการเรียนรู้ภาษาต่างๆ ได้ดีไปจนถึงเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น ก็ประมาณ   12-13 ปีค่ะ
จึงมีข้อสรุปจากผลการศึกษาว่า การรับรู้ภาษาที่สองของคนเรา จะสามารถเรียนรู้ได้รวดเร็ว และ ประสบความสำเร็จอย่างดีเทียบเท่าภาษาที่หนึ่งได้ ต้องเกิดขึ้นก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น ซึ่งเป็นช่วงที่สมองส่วนข้าง หรือที่เรารู้จักกันในชื่อว่า Temporal Lope เริ่มทำหน้าที่ของมัน นั่นคือ การควบคุมความทรงจำ การคิดเป็นเหตุผล การได้ยินและภาษานั่นเอง… ท่านลองฉายภาพยนตร์สำหรับเด็กที่เป็นเสียงซาวแทร็กของเจ้าของภาษา เช่นภาษาอังกฤษ ให้เด็กที่มีอายุประมาณขวบครึ่งถึงสี่ห้าขวบดู จะพบว่า เด็กเล็กกว่าสามขวบสามารถดูภาพยนตร์เสียงภาษาอังกฤษนั้นได้อย่างสนใจ ขณะที่เด็กโตกว่าสามขวบขึ้น จะไม่สนใจและเริ่มหันไปเล่นอย่างอื่นค่ะ
คีย์เวิร์ด ของเรื่องการเรียนรู้ภาษานี้ก็คือ Exposure ค่ะ การได้สัมผัสหรือโอกาสเปิดรับภาษาที่สองที่สาม ในช่วงวัยอายุไหนนะคะ
นอกจากนั้น ยังมีผลการศึกษาค้นคว้าอื่นๆ ที่เชื่อมโยงเข้ามาด้วย เช่น เมื่อเข้าสู่วัยรุ่น หรืออายุประมาณ 15 ปี กล้ามเนื้อและกระดูกที่ใบหน้าของคนเราก็เข้าสู่ภาวะที่เกือบโตเต็มที่ ซึ่งเมื่อโตเต็มที่แล้ว มันก็จะสูญเสียความว่องไวในการแยกแยะเสียงสำเนียงที่เป็นของภาษาอื่นๆ ที่ไม่ใช่ภาษาที่ตนเองพูดอยู่ เราจึงพบว่า บรรดาผู้ที่เรียนภาษาที่สองที่สามหลังจากผ่านช่วงวัยรุ่นมาแล้ว ก็จะพบความยากลำบาก ในการออกเสียงสำเนียง หรือ accent ของภาษาเหล่านั้น และไม่สามารถออกเสียงได้เหมือนกับเจ้าของภาษา
ยังมีข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกเยอะนะคะ เช่น เด็กที่เรียนภาษาที่สองก่อนวัย 5 ขวบ จะมีเกรย์แมทเทอร์ในสมองหนาแน่นมากเมื่อเติบโตขึ้น และพบว่า คนที่เรียนรู้เร็ว หรือพวก fast learners มักเป็นผู้ที่มีเกรย์แมทเทอร์ในสมองมากกว่าผู้ที่เรียนรู้ช้ากว่า และจะมีความสามารถในด้านการคิดสร้างสรรค์ มีความยืดหยุ่น และเป็นเหตุเป็นผลมาก จากสมรรถนะของสมองที่พัฒนารองรับการรับรู้หลายภาษาในตอนเด็ก
และที่สำคัญพลังสมองของคนที่สามารถสื่อสารได้สองภาษาอย่างคล่องแคล่วจะเสื่อมตามวัย ช้ากว่าสมองคนทั่วไปค่ะ
ดังนั้น ควรให้เด็กเรียนรู้ภาษาที่สองตั้งแต่เด็กจะเป็นผลดีกับตัวเขาในตอนโตค่ะ
An Also- Girl-able Task

ส่วนผู้ที่มาเรียนตอนโต ก็ไม่ต้องท้อแท้นะคะ เราก็สามารถลื่นไหลในภาษาที่สองที่สามเหล่านั้นได้ เพียงแต่อย่าคาดหวังมากจนเครียดก็แล้วกันนะคะ
อ้อ/ ไม่ว่าจะอย่างไร หากท่านผู้ใดพบข้อมูลที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ กรุณาเขียนเข้ามาแย้งก็ได้ค่ะ จะยินดีเปิดกว้างเพื่อขยายการรับรู้ออกไป
ยาวไปแล้ว ต้องไปก่อนนะคะ บ๊าย บาย…
(สำหรับท่านที่สนใจศึกษาเพิ่มนะคะ ขอแนะนำผลงานของ Catherine E. Snow and Marian Hoefnagel-Hohle: The Critical Period for Language Acquisition: Evidence from Second Language Learning ในเว็บไซต์ที่ชื่อว่า http://www.kennethreeds.com/ ได้ และเว็บอื่นๆ ด้วยก็ได้ค่ะ น่าสนใจ)