Monday, February 14, 2011

คนที่สามารถสื่อสารได้สองภาษาขึ้นไปตั้งแต่เด็กมักมีพลังสมองที่ดีพิเศษ

Individuals with highly proficient in a second language showed a markedly better mental power!
Thoughtful Chili Paste



สวัสดีค่ะ เพื่อนชาวบล็อก และท่านที่สนใจเข้ามาอ่านเรื่องราวในบล็อกนี้

ที่บล็อกนี้ ฉันจะเข้ามาเขียน เมื่อใคร่ที่จะสนทนาแลกเปลี่ยนในเรื่องสำคัญๆ (บางทีก็ไม่ถึงกะสำคัญ แค่น่าสนใจนะคะ) เกี่ยวกับตัวมนุษย์เราและสังคมของเราค่ะ คราวนี้มีเรื่องที่น่าสนใจเกี่ยวกับการเรียนรู้ภาษา ทเชื่อมโยงถึงพัฒนาการของสมองของคนเรานะคะ…


Alternated Brain Food for you...

Punctilious Casing Present

แต่ดั้งเดิมเราเคยได้ยินมาว่าการเรียนรู้ภาษานั้นต้องเรียนตอนเด็กๆ หากมาเรียนตอนโตแล้วจะยากขึ้น เรายอมรับว่ามันเป็นจริงโดยข้อมูลที่ประจักษ์ทั้งแก่ตัวเราเอง และผู้คนรอบข้าง อย่างตัวเรามาเรียนภาษาฝรั่งเศส ตอนขึ้นชั้นมัธยมปลาย อายุก็ราวๆ 16-17 ปี ที่เข้าเรียกว่านักเรียนศิลป์ฝรั่งเศส และต่อเนื่องจนถึง เข้ามหาวิทยาลัยปีหนึ่งปีสอง ก็เลือกเรียนภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาที่สาม รวมแล้วสัมผัสภาษาฝรั่งเศสอยู่ถึง 4 ปี มีอาจารย์ชาวฝรั่งเศสมาสอนด้วยตอนมหาลัย เข้าแล็บภาษา ดูภาพยนตร์ในคลาส ชั่วโมงอิสตัวร์ เดอ ฟรองส์ อาจารย์เล่นเล็คเชอร์เป็นภาษาฝรั่งเศสล้วน แถมไปอาลิอองฟรองเซส์เมื่อมีหนังดีๆ มาฉายด้วยนะคะ  ก็ยังรู้สึกว่าตัวเอง งูๆ ปลาๆ ตอนเรียนชั้นมัธยมอาจารย์ให้ผันแว็ป โดนหยิกจนแขนเป็นแนว ถึงตอนนี้จำได้แต่โดนหยิก แต่จำไม่ได้ว่าแว็ปที่ถูกให้คัดเป็นหน้าๆ เหล่านั้น เป็นตัวอะไรบ้าง…
อย่างไรก็ตาม ก็ไม่ได้หมายความว่า เรียนภาษาตอนโตจะไม่สามารถรู้ภาษานั้นๆ ได้ นะคะ แม้โตแล้ว เราก็ยังสามารถเรียนรู้และพูดภาษานั้นได้ ยิ่งหากเราได้ไปอยู่ในพื้นที่ที่คนใช้ภาษานั้นๆ เป็นภาษาที่หนึ่ง เราก็จะสามารถเรียนรู้และใช้ภาษานั้นๆ ได้คล่องแคล่ว… แต่… ความหมายที่ว่าเรียนตอนโตยากนั้น ที่สำคัญก็คือ เราจะไม่มีวันเรียนรู้หรือใช้ภาษานั้นๆ ได้ดุจดังเจ้าของภาษานั่นเองค่ะ… (นี่ก็เป็นข้อสรุปทั่วไปอีกนะคะ ในนี้ก็อาจจะมียกเว้น อาจมีคนพิเศษทำได)้
เราจะคุยกันบนข้อสรุปทั่วไปนะคะ เพราะเราจะพบว่า โดยทั่วไปหากใครเติบโตในถิ่นที่พูดภาษาใด ก็จะสามารถพูดและรู้ภาษานั้นๆ เหมือนเจ้าของภาษา แม้ว่าตอนโตจะย้ายไปที่อื่นที่ใช้ภาษาอื่น แต่ภาษาที่เรียนรู้มาแต่เด็กก็จะยังคงอยู่…

มีผู้สงสัยเหมือนเรา และก็ไปศึกษาค้นคว้า โดยที่ว่าสมัยนี้เรามีความรู้เรื่องการทำงานของสมองมากขึ้น รวมทั้งกลไกการทำงานของอวัยวะต่างๆ ของร่างกายเราอย่างมาก …
จึงมีการพบว่า คนเราในวัยเด็กเล็ก กับตอนที่โตแล้ว จะมีการเรียนรู้ภาษาที่ต่างกัน เด็กเล็กจะเรียนรู้ภาษารวมทั้งสิ่งต่างๆ รอบตัว โดยสัญชาตญาณ หรือโดยจิตใต้สำนึก เป็นปฏิกิริยาทางธรรมชาติ จึงสามารถเรียนได้รวดเร็วโดยไม่ต้องใช้ความพยายามมากมาย เค้าบอกว่า สมองของเด็กเล็กๆ ยังไม่ได้สร้างความสามารถในการคิดแบบเป็นเหตุเป็นผลขึ้นมา จึงทำให้การเรียนรู้สิ่งต่างๆ ลื่นไหลไปอย่างรวดเร็ว พอหลังจากอายุประมาณ 3 ขวบปี สมองจึงเริ่มการคิดเป็นเหตุเป็นผล และเริ่มมีจิตสำนึกต่างๆ การรับรู้ภาษาที่ไม่คุ้นเคยก็จะเริ่มยากขึ้น แต่ก็ยังมีศักยภาพการเรียนรู้ภาษาต่างๆ ได้ดีไปจนถึงเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น ก็ประมาณ   12-13 ปีค่ะ
จึงมีข้อสรุปจากผลการศึกษาว่า การรับรู้ภาษาที่สองของคนเรา จะสามารถเรียนรู้ได้รวดเร็ว และ ประสบความสำเร็จอย่างดีเทียบเท่าภาษาที่หนึ่งได้ ต้องเกิดขึ้นก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น ซึ่งเป็นช่วงที่สมองส่วนข้าง หรือที่เรารู้จักกันในชื่อว่า Temporal Lope เริ่มทำหน้าที่ของมัน นั่นคือ การควบคุมความทรงจำ การคิดเป็นเหตุผล การได้ยินและภาษานั่นเอง… ท่านลองฉายภาพยนตร์สำหรับเด็กที่เป็นเสียงซาวแทร็กของเจ้าของภาษา เช่นภาษาอังกฤษ ให้เด็กที่มีอายุประมาณขวบครึ่งถึงสี่ห้าขวบดู จะพบว่า เด็กเล็กกว่าสามขวบสามารถดูภาพยนตร์เสียงภาษาอังกฤษนั้นได้อย่างสนใจ ขณะที่เด็กโตกว่าสามขวบขึ้น จะไม่สนใจและเริ่มหันไปเล่นอย่างอื่นค่ะ
คีย์เวิร์ด ของเรื่องการเรียนรู้ภาษานี้ก็คือ Exposure ค่ะ การได้สัมผัสหรือโอกาสเปิดรับภาษาที่สองที่สาม ในช่วงวัยอายุไหนนะคะ
นอกจากนั้น ยังมีผลการศึกษาค้นคว้าอื่นๆ ที่เชื่อมโยงเข้ามาด้วย เช่น เมื่อเข้าสู่วัยรุ่น หรืออายุประมาณ 15 ปี กล้ามเนื้อและกระดูกที่ใบหน้าของคนเราก็เข้าสู่ภาวะที่เกือบโตเต็มที่ ซึ่งเมื่อโตเต็มที่แล้ว มันก็จะสูญเสียความว่องไวในการแยกแยะเสียงสำเนียงที่เป็นของภาษาอื่นๆ ที่ไม่ใช่ภาษาที่ตนเองพูดอยู่ เราจึงพบว่า บรรดาผู้ที่เรียนภาษาที่สองที่สามหลังจากผ่านช่วงวัยรุ่นมาแล้ว ก็จะพบความยากลำบาก ในการออกเสียงสำเนียง หรือ accent ของภาษาเหล่านั้น และไม่สามารถออกเสียงได้เหมือนกับเจ้าของภาษา
ยังมีข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกเยอะนะคะ เช่น เด็กที่เรียนภาษาที่สองก่อนวัย 5 ขวบ จะมีเกรย์แมทเทอร์ในสมองหนาแน่นมากเมื่อเติบโตขึ้น และพบว่า คนที่เรียนรู้เร็ว หรือพวก fast learners มักเป็นผู้ที่มีเกรย์แมทเทอร์ในสมองมากกว่าผู้ที่เรียนรู้ช้ากว่า และจะมีความสามารถในด้านการคิดสร้างสรรค์ มีความยืดหยุ่น และเป็นเหตุเป็นผลมาก จากสมรรถนะของสมองที่พัฒนารองรับการรับรู้หลายภาษาในตอนเด็ก
และที่สำคัญพลังสมองของคนที่สามารถสื่อสารได้สองภาษาอย่างคล่องแคล่วจะเสื่อมตามวัย ช้ากว่าสมองคนทั่วไปค่ะ
ดังนั้น ควรให้เด็กเรียนรู้ภาษาที่สองตั้งแต่เด็กจะเป็นผลดีกับตัวเขาในตอนโตค่ะ
An Also- Girl-able Task

ส่วนผู้ที่มาเรียนตอนโต ก็ไม่ต้องท้อแท้นะคะ เราก็สามารถลื่นไหลในภาษาที่สองที่สามเหล่านั้นได้ เพียงแต่อย่าคาดหวังมากจนเครียดก็แล้วกันนะคะ
อ้อ/ ไม่ว่าจะอย่างไร หากท่านผู้ใดพบข้อมูลที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ กรุณาเขียนเข้ามาแย้งก็ได้ค่ะ จะยินดีเปิดกว้างเพื่อขยายการรับรู้ออกไป
ยาวไปแล้ว ต้องไปก่อนนะคะ บ๊าย บาย…
(สำหรับท่านที่สนใจศึกษาเพิ่มนะคะ ขอแนะนำผลงานของ Catherine E. Snow and Marian Hoefnagel-Hohle: The Critical Period for Language Acquisition: Evidence from Second Language Learning ในเว็บไซต์ที่ชื่อว่า http://www.kennethreeds.com/ ได้ และเว็บอื่นๆ ด้วยก็ได้ค่ะ น่าสนใจ)

Tuesday, October 26, 2010

สิ่งโดนใจจากงานเปิดตัวหนังสือเล่มใหม่ (2)

อนาคตประเทศไทย
จะผ่าทางตันออกไปอย่างไร...ศึกษาจากนโยบายของจีน...แนวนโยบายของจีนมีอะไรที่น่าสนใจบ้าง?
ลักษณะร่วมในสามฉากอนาคต
ในการปาฐกถางานเปิดตัวหนังสือที่ชื่อว่า หยั่งรู้อนาคต หลักการ ทฤษฎีและเทคนิคอนาคตศึกษาเมื่อวันที่ 24 .. 2553 อนุช อาภาภิรม หลังจากกล่าวถึงฉากอนาคตที่มีความเป็นไปได้ 3 ฉาก (ดูบล็อกก่อนหน้านี้) แล้ว ได้ชี้ว่า ในทั้ง 3 ฉากที่กล่าวมานั้น มีลักษณะร่วมอยู่ 3-4 ประการ ที่ไม่ว่าอนาคตไทยจะเป็นแบบใดคือไม่ว่าจะเป็นแบบ ไทยเข้มแข็งหรือ คนป่วยแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรือ รัฐที่ล้มเหลวและถูกละทิ้งก็จะมีลักษณะร่วมกันคือ...
(1) ศูนย์กลางอำนาจจะอ่อนลง ซึ่งหมายถึงทั้งรัฐและกลไกการปกครองรัฐจะต้องอ่อนลง ในกรณีไทยเข้มแข็งนั้น ไม่ได้หมายความว่าศูนย์กลางอำนาจรัฐแข็งแบบเผด็จการฟาสซิสม์ แต่หมายถึงเข้มแข็งทั้งประเทศ เพราะอำนาจจากศูนย์กลางจะถูกกระจายลงไปสู่ท้องถิ่นอย่างทั่วถึง
(2) ประเด็นความมั่นคงของรัฐจะทวีความสำคัญขึ้นเนื่องจากมีปัญหาการเมือง และทหารก็จะมีบทบาททางการเมืองโดดเด่นขึ้น
(3) ปัญหาเศรษฐกิจจะหนักหน่วงขึ้น เช่น ปัญหาเงินเฟ้อ มีการขึ้นภาษีและอัตราดอกเบี้ย ก่อให้เกิดความเดือดร้อนในหมู่ประชาชนที่ขยายกว้างออก
(4) ความเคลื่อนไหวการเมืองจะมีการขับเคี่ยวกันรุนแรงขึ้น เช่น ในการเลือกตั้งจะเกิดจุดอับทางการเมือง ตกอยู่ในภาวะที่เครื่องมือที่เคยใช้ในการแก้ปัญหา เช่น การรัฐประหารหรือการเลือกตั้งก็ใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไป
ดังนั้น ไทยต้องผ่าทางตันนี้ออกไปให้ได้...


ไทยจะผ่าทางตันได้อย่างไร?
ผู้พูดได้เสนอแนวทางที่จะนำพาประเทศไทยออกไปจากจุดอับและทางตันที่กำลังเผชิญอยู่ โดยเสนอให้ศึกษาแนวนโยบายของประเทศจีนและนำมาปรับใช้ให้สอดคล้องกับประเทศเรา แม้ว่าประเทศไทยจะมีพัฒนาการที่แตกต่างกับประเทศจีน ทั้งลักษณะทางสังคมและเศรษฐกิจของเราก็แตกต่าง แต่มีความเหมือนก็คือ ทั้งจีนและไทยเป็นประเทศที่กำลังพัฒนา จีนได้ค้นคิดแนวทางนโยบายการพัฒนาของประเทศ จากจุดยืนของประเทศกำลังพัฒนา...ดังนั้นจึงน่าจะมีบทเรียนที่ประเทศกำลังพัฒนาด้วยกันนำไปใช้ได้...
ดูว่าจีนคิดนโยบายอะไรออกมาใช้บ้าง เริ่มตั้งแต่...
(1) นโยบาย 4 ทันสมัยคือการเกษตร อุตสาหกรรม การทหาร และวิทยาศาสตร์-เทคโนโลยี
(2) การค้นคิดนโยบาย ประเทศเดียวสองระบบเพื่อรวมเอาฮ่องกงเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของประเทศโดยไม่ต้องไปเปลี่ยนระบบของฮ่องกงให้เป็นสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ เพราะฮ่องกงเป็นแบบทุนนิยมเต็มขั้น ผู้พูดยกตัวอย่างการจัดตั้งรัฐบาลของไทยว่าถ้าหากออกมาในลักษณะที่ทั้งคนกรุงเทพและต่างจังหวัดรับได้ ก็จะสามารถอยู่ร่วมกันอย่างสันติได้ในสังคมไทย
(3) นโยบายมุ่งสู่ตะวันตกนั่นคือการขยายเขตการพัฒนาทางเศรษฐกิจของประเทศลึกเข้ามาจากชายฝั่งตะวันออกมาสู่เขตที่ล้าหลังต่างๆ เช่นพื้นที่ในมณฑลเสฉวน เป็นต้น กรณีของไทยก็น่าจะปรับมาใช้ในลักษณะของการกระจายความเจริญออกไปรอบทิศทางจนทั่วทั้งประเทศ
(4) การเสนอคำขวัญ รุ่งเรืองอย่างสันติคือไม่ไปทะเลาะเบาะแว้งกับใคร ไม่ทำสงครามต่อกรกับใคร
(5) เสนอคำขวัญทางสากลว่า โลกที่สอดประสาน (Harmonious World) นั่นคือ การเอื้อประโยชน์กันและกันอย่างทั่วถึง ให้ประเทศต่างๆ ไม่ว่าจะจนหรือรวย สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข พูดง่ายๆ ก็คือ สันติภาพ มั่งคั่งและยั่งยืน นั่นเอง
นี่ก็คือสิ่งที่ผู้พูดได้เสนอ โดยชี้ว่าน่าจะช่วยให้ประเทศไทยจะออกจะจุดอับทางตันในปัจจุบันได้

ท่านผู้อ่านอาจจะตั้งคำถามก็ได้ว่า ทำไมต้องศึกษาจากแนวนโยบายของจีน?
น่าสนใจค่ะ ขอฝากให้เก็บไปช่วยกันคิดดูดีกว่านะคะ

ขอจบไว้เท่านี้ก่อนค่ะ กลัวคนอ่านจะเครียด...เครียดไหมคะ?
คิดเสียว่าเป็น Food for Thought ละกันนะคะ 
แล้วพบกันอีกค่ะ รักทุกท่านที่เข้ามาอ่าน (จะยิ่งรักมากหากท่านมีคอมเมนท์ :D)


Monday, October 25, 2010

สิ่งโดนใจจากงานเปิดตัวหนังสือเล่มใหม่...


โดนใจจริงๆ กับคำถามที่ว่า...

(ในอีก 10-20 ปีข้างหน้า) “ประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลางของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือถูกละทิ้งอย่างโดดเดี่ยว ในโลกที่กำลังปั่นป่วนวุ่นวาย และ จะทำอย่างไร ไทยจึงจะไม่ถูกละทิ้ง ให้อยู่อย่างโดดเดี่ยว?”
ประเด็นคำถามข้างต้น ตั้งขึ้นระหว่างการกล่าวปาฐกถานำในงาน เปิดตัวหนังสือเล่มใหม่ ชื่อ หยั่งรู้อนาคต: หลักการ ทฤษฎีและเทคนิคอนาคตศึกษา (ของ อนุช อาภาภิรม) เมื่อวันที่ 24 ต.ค. ที่ผ่านมา ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

ในตอนท้ายของการปาฐกถา ซึ่งผู้พูดกล่าวถึงประเด็นเกี่ยวกับเทคนิคอนาคตศึกษาหนึ่ง ที่เรียกว่าเทคนิคฉากอนาคต (Scenario Technique) ซึ่งองค์กรใหญ่ๆ ทั่วโลกใช้เพื่อการวางแผนงานโครงการสำหรับการนำองค์กรก้าวไปข้างหน้าอย่างมีทิศทาง ซึ่งโดยทั่วไปมักจะมีการสร้างฉากอนาคตอยู่ประมาณ 3 แบบ คือ ฉากแบบดีที่สุด ฉากแบบปานกลาง และฉากที่เลวร้ายที่สุด

ผู้พูดได้ทดลองสร้างฉากอนาคตของประเทศไทยในอีกประมาณ 10 ปีข้างหน้ามา 3 ฉาก คือ
(1) ฉากอนาคตแบบ “ไทยเข้มแข็ง” เป็นฉากมองในแง่ดีที่สุด ซึ่งผู้พูดได้ระบุว่าประเทศไทยนั้นมีพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ดี สามารถพัฒนาก้าวหน้าไปได้อีกมาก แต่การเมืองยังเป็นอุปสรรค หากจะดีขึ้นได้ ก็อาจจะต้องเกิดเหตุการณ์ปะทุรุนแรงอีกครั้งหนึ่ง แล้วหลังจากนั้นก็อาจจะสามารถปรองดองกันได้ดั่งที่หลายฝ่ายอยากเห็น เนื่องจากเฉพาะหน้านี้มีให้เห็นแต่การตั้งป้อม จึงต้องปะทะกันก่อน แล้วหลังจากนั้นก็สามารถพัฒนาเป็นรัฐที่เข้มแข็งในภูมิภาคได้
(2) ฉากอนาคตแบบกลางๆ คือ “ไทยเป็นคนป่วยแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีอาการป่วยเรื้อรัง” เนื่องจากมีความขัดแย้งที่ไม่ได้รับการแก้ไขให้ตกไป ยื้อกันไปๆ มาๆ อย่างยืดเยื้อ ซึ่งก็จะทำให้ประเทศอ่อนแอลงเรื่อยๆ เปรียบเสมือนคนป่วยเรื้อรัง ซึ่งก็จะทำให้ไทยกลายเป็นเขตแย่งชิงอำนาจระหว่าง สหรัฐ จีน อิสลาม และอาจจะรวมรัสเซียเข้ามาอีกด้วย ซึ่งก็จะส่งผลร้ายนอกจากชาติเราแล้วยังส่งผลต่อไปทั่วทั้งภูมิภาคนี้ด้วย
(3) ฉากอนาคตที่เลวร้ายที่สุดคือ “ไทยกลายเป็นรัฐที่ล้มเหลว และถูกละทิ้ง” ผู้พูดได้ยกบรรทัดฐานที่จะวัดความล้มเหลวของรัฐ เช่น ไม่สามารถคุ้มกันความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินให้ประชาชนได้ เวลาเกิดภัยพิบัติก็ไม่สามารถช่วยเหลือประชาชนได้ ยกตัวอย่างกรณีเกิดพายุแคธรีน่าที่ประชาชนเดือดร้อนล้มตายมาก ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ประชาชนอเมริกันไม่ให้อภัย ปธน.บุช นับแต่นั้น ตัวชี้วัดของรัฐที่ล้มเหลวอีกตัวหนึ่งคือ ความล้มเหลวของระบบความยุติธรรม และความล้มเหลวของการให้บริการสาธารณะ เป็นต้น นอกจากนั้น สิ่งที่เป็นตัวชี้ให้เห็นความเป็นรัฐที่ล้มเหลวอีกอย่างหนึ่งก็คือ คนดีที่มีความสามารถทิ้งประเทศไปตั้งรกรากทำมาหากินที่ประเทศเขตแคว้นอื่นๆ และบรรดาเศรษฐีมีเงินต่างพากันขนเงินทองออกนอกประเทศไป

ฉันว่า น่ากลัวทุกฉากเลย จะทำยังไงดี??
ผู้พูดได้กล่าวว่า โดยลักษณะที่ตั้งทางภูมิรัฐศาสตร์นั้น ประเทศไทยอยู่ตรงศูนย์กลางของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ดังนั้น ไทยต้องทำตัวเป็นศูนย์กลาง หากไม่เช่นนั้นก็จะถูกโดดเดี่ยวและถูกละทิ้ง...

ทิ้งท้ายว่า ผู้พูดได้นำเสนอหนทางผ่าทางตันเอาไว้อย่างน่าสนใจค่ะ
โปรดรออ่านในบล็อกหน้านะคะ 

Saturday, August 21, 2010

น้ำตาแห่งมนุษย์...ก่อนกำเนิดความเมตตาที่ไม่ยั่งยืน





วันนี้...ตอนนี้...น้ำตาฉันไหล...
เมื่อมีเวลามานั่งคิดทบทวน มันเกิดเศร้าใจ กับความไร้สาระของชีวิต  แต่ทำไมชีวิตที่ไร้สาระจึงสร้างความวุ่นวายให้กับเราได้มากมายถึงเพียงนี้? และมันทำให้เราโกรธ โมโหหัวเสียเป็นส่วนใหญ่ จริงนะ...

ฉันพยายามบอกกับตัวเองว่า ชีวิตมันไร้สาระ การเกิดคือความทุกข์ จงรู้เท่าทัน และจัดการมันให้เดินไปตามขั้นตอนให้ดีที่สุด... แต่การจัดการให้ดีที่สุด นี่แหละคือความทุกข์นะ...
เอาละ ถ้างั้น หากจะให้มันทุกข์น้อยก็คือ ไม่ต้องให้ดีที่สุด ให้ดีพอสมควร หรือที่เรียกกันว่า ทางสายกลางไง

Twilight of the meridian
สนธยายามเที่ยงวัน
ทางสายกลาง? ทางสายกลางคืออะไร? ฉันได้คิด คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างมาก...มากยิ่งนักถึงมากที่สุดเลย...

ถ้าหากทางสายกลางคือการทำทุกอย่างเฉพาะหน้าให้เกิดภาวะสมดุล ในสภาพจริงก็คือ เมื่อทุกอย่างหรือหลายอย่างหลายปัจจัย อยู่ในภาวะสมดุลแล้วเท่านั้น เราจึงจะสามารถก้าวเดินต่อไปข้างหน้าได้...
ถ้าหากทางสายกลางคือสิ่งนี้ ในโลกที่เป็นจริง เราก็สามารถนำมันมาใช้กับชีวิตได้...
ทางสายกลาง - ภาวะสมดุลในชีวิต...ในช่วงจังหวะที่อาจแสนสั้นแต่มั่นคงพอที่เราจะก้าวต่อไปได้...
แต่ก็อย่าคิดว่า ภาวะสมดุลที่เราจัดได้มันจะอยู่เช่นนั้นเป็นนิรันดร์ หากเราต้องก้าวเดินไปข้างหน้าอีกก้าวและอีก...

จริงสินะ... เมื่อเราก้าวต่อไปอีกก้าว ชีวิตคืบหน้าต่อไปอีก (ซึ่งมันจะต้องคืบต่อไปอยู่แล้ว ไม่มีอะไรมายับยั้งมันไว้ได้ ทุกอย่างไม่สามารถหยุดอยู่กับที่) เราก็จะต้องพบอุปสรรค ต้องฝ่าฟันไปอีก
เมื่อชีวิตต้องคืบหน้าต่อไป ทางเบื้องหน้าของเราก็อย่าหวังเลยว่าจะราบเรียบ อย่าหวังว่าจะไม่เจอกับความทุกข์ยากลำบาก และความคับข้องใจอีก คิดไว้เลยว่าเราต้องเจอ และมันอาจจะแรงกว่าที่เคยเจอมาแล้วก็เป็นได้...

นี่ก็หมายความว่า สิ่งที่เราควรทำในชีวิตก็คือพยายามสร้างภาวะสมดุลให้เกิดขึ้นในทุกขั้นตอนที่ชีวิตดำเนินไป
แค่นี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนะ การเดินสายกลาง... มันต้องการองค์ประกอบที่เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ รวมทั้งงานหนักแบบจับกังรวมกัน ใครทำตรงนี้ได้ดี ก็ถือว่าเจนจบในมหาวิทยาลัยชีวิตไปขั้นหนึ่ง...
และรู้ไหม... บางทีมันต้องแลกมาด้วยน้ำตา การยอมเสีย การยอมเสี่ยง การยอมผ่อนสั้นผ่อนยาว กระทั่งต้องสละสิ่งที่รักที่หวงแหน โดยไม่มีใครรู้ใครเห็น ไม่มีกล่องมาประดับดวงใจ ไม่มีแก้วแหวนเงินทองมาประดับกาย...

หากเป็นเช่นนี้แล้ว เราจะมีสิ่งใดยึดเหนี่ยว เพื่อก้าวเดินต่อไปอย่างมีแรงพลัง?
บอกตัวเองว่า จงเอาความเมตตาเข้ามาแทนที่ความคับข้องขุ่นใจ เพราะเบื้องหน้าของเราคือชีวิตที่เป็นทุกข์ ชีวิตที่ต้องการความรักความเมตตาความสงสาร ชีวิตที่กำลังดิ้นรน...อยากจะโกรธก็โกรธเถิด เพราะมันคืออารมณ์แห่งมนุษย์ หากอยากจะร้องไห้ ก็จงร้องเถิด เพราะนั่นคือน้ำตาแห่งมนุษย์ ที่เราหลั่งจากใจของมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง หลั่งให้แก่ผู้เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ ร่วมเดินทางกันไปจนกว่าจะสุดปลายทางของแต่ละคน...

...แต่...จงอย่าลืมมีความเมตตาหล่อเลี้ยงอยู่ในใจไว้เสมอละกัน...จงจุดไฟแห่งความเมตตาให้สว่างที่สุดในยามที่มืดที่สุดเสมอนะ...เพราะความเมตตานั้นก็ไม่ยั่งยืน เฉกเช่นเดียวกับสิ่งดีๆ ทั้งปวง...อย่าเศร้าให้มากนักเลย