สวัสดีค่ะเพื่อนๆ
ชาวบล็อกทุกท่าน
ฉันหายไปนาน
ต้องขอโทษด้วย ก็ชีวิตมันยังไม่สิ้นก็เลยต้องบากบั่นกัดฟันไปเรื่อยๆ นะคะ งานรุมเร้าเลยไม่ได้เข้ามาเขียนบล็อกคุยกับทุกท่าน
วันนี้งานเสร็จก็เลยรีบเข้ามา
เพราะอยากมาคุยเรื่องการเลือกเส้นทางก้าวเดินไปในโลกของเด็กๆ โดยเฉพาะลูกๆ ของเราค่ะ... อยากคุยเรื่องนี้มาหลายเพลาแล้วค่ะ
เพิ่งได้ฤกษ์ดีวันนี้เอง...
.....
ฉันนั้นมีความคิดเห็นหนึ่งที่สรุปขึ้นมาจากการสังเกตว่า
ในทุกวันนี้
/ คุณพ่อคุณแม่ที่มีลูก ไม่ว่าจะอยู่ในวัยไหน ตั้งแต่เล็กจนโตเลยนะคะ
สิ่งหนึ่งที่เราจะต้องให้ความสนใจตลอดก็คือ การให้ความเอาใจใส่กับเส้นทางที่ลูกของเราจะเลือกก้าวเดินไปในอนาคตค่ะ
...หลายคนหรือทุกคนน่าจะคิดเหมือนๆ
กันอยู่แล้วนะคะ
และอยากจะบอกด้วยซ้ำว่า
เรื่องนี้ต้องให้ความสนใจอย่างจริงจังกันตั้งแต่เล็กเลยก็ว่าได้นะคะ
เพราะโลกเราสมัยนี้ไม่เหมือนสมัยก่อนแล้ว...
เมื่อก่อนเป็นไงคะ...
“เมื่อก่อน”
ในที่นี้ น่าจะหมายถึงราวๆ ยุค ทศวรรษ 60 – 80 (1960s-1980) ก็นานมาแล้วเหมือนกัน...
บางท่านอาจจะพูดได้ว่าเป็นรุ่นที่คุณยายคุณตายังหนุ่มสาวกัน
นั่นแหละใช้แล้วนะคะ ยุคนั้นยังไม่มีใครมองเห็นอะไรๆ ชัดเจนนัก ...เลือกเรียนอะไรไปก็ยังไม่รู้ว่าจะไปทำอะไร
และก็มักจบลงด้วยการไปทำงานที่ไม่ค่อยตรงกับที่เรียนมาเท่าไหร่
ที่มีชัดหน่อยก็เห็นจะเป็นพวกแพทย์ กับวิศวกร ทนายความ และก็พวกครูบางส่วนเท่านั้น... ยุคนี้เค้าเรียกว่า
ยุค “เบบี้บูมเมอร์” เศรษฐกิจเจริญเติบโต ต้องการแรงงานพนักงานเข้าทำงานแบบไม่อั้น
ไม่รู้ก็ไปฝึกเอาๆๆ เป็นอันใช้ได้
....
เดี๋ยวนี้ฉันว่ามันไม่เป็นแบบนั้นแล้วมันเปลี่ยนไปมากๆ
เลย ทุกท่านคงเห็นด้วยในประเด็นนี้
อาจจะเนื่องด้วยโลกได้เข้าสู่ยุคข่าวสารและเทคโนโลยีขั้นสูง
ทำให้ความรู้ต่างๆ แพร่กระจายไปได้กว้างขวางรวดเร็วชั่วพริบตา ผู้ที่มีทักษะการใช้เทคโนโลยีและมีฐานความรู้ที่ดี
ก็สามารถดักรับรู้ข่าวสารและแสวงหาความรู้ได้เก่ง ดี เร็ว และก็จะมีความสามารถในการคิดวิเคราะห์
และค้นพบตัวเองได้เร็วว่าตัวเองชอบอยากทำอะไรที่ไหนอย่างไร
การมีสำนึกและสามารถค้นพบตัวเองของลูกๆ
เป็นเรื่องที่มีความสำคัญมาก... แต่ที่แน่นอนที่สุด
พ่อแม่หรือบ้านและโรงเรียนย่อมต้องมีบทบาทสำคัญอย่างมากในเรื่องนี้
เพราะเราจะเห็นว่า
เด็กๆ ก็มักจะอยากเป็นโน่นเป็นนี่ ที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามข้อมูล /
ประสบการณ์ที่ตัวเค้าได้พบได้เห็นและมีความประทับใจ
ดังนั้น
การค้นพบตัวเองของลูกๆ นั้น มิได้หมายความว่า คือเรื่องที่พวกเค้าค้นพบของเค้าเองโดยธรรมชาติเอง
หรือเรื่องที่ว่า พ่อแม่หรือคนอื่นๆ จะบังคับหรือยัดเยียดให้เค้าเป็นนั่นเป็นนี่ได้แบบง่ายๆ
อย่างนั้นนะคะ
.....
จะพูดไป
มันก็คือศิลปะของการดูแลเลี้ยงดูเด็กอย่างหนึ่ง ที่เป็นบทบาททั้งของพ่อแม่ผู้ปกครองและของโรงเรียนเป็นสำคัญ
และก็เป็นสิ่งที่มาจากความปรารถนาที่จะได้เป็นนั่นนี่ของเด็กที่สอดคล้องกันไปด้วยกันค่ะ
ดังนั้น
เราไม่ว่าจะเป็นใคร ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปบงการให้เด็กๆ โตขึ้นจงเป็นโน่นเป็นนี่ เรามีแต่ต้องเปิดกว้างให้เค้าได้เลือกสิ่งที่เค้าได้แรงบันดาลใจอยากเป็น
และให้เค้าได้รับข้อมูลที่ถูกต้องว่า สิ่งที่เค้าอยากเป็นนั้นคืออะไร
มีสถานภาพอย่างไร อยู่ตรงส่วนไหนขององคาพยพใหญ่ของสังคมทั้งหมด
และมองไปจนถึงอนาคตว่ามันจะเป็นไปอย่างไร
หากเด็กมีความเข้าใจสิ่งที่เค้าใฝ่ฝันอยากเป็น
และมุ่งหน้าก้าวเดินไปบนเส้นทางเหล่านั้นได้เร็ว
เค้าก็จะไม่ต้องไปเสียเวลากับการลองคิดผิดคิดถูก ใช่ไม่ใช่ เปลี่ยนใหม่ดีกว่า... ซึ่งสำหรับยุคสมัยนี้
มันก็คือต้องเสียเวลาไป และก้าวไม่ทันคนอื่น
ที่เค้าชัดเจนมาแบบสายตรงไม่คดเคี้ยวเลี้ยวไปมาๆ
...
ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปจริงๆ
ค่ะ
ยุคนี้ไม่มีเวลาให้ลองผิดลองถูกมากนัก
เด็กๆ ทุกคนเหมือนต้องฝึกฝนตนเองเป็น “มือโปร” มาตั้งแต่วัยเรียน
พอเรียนจบก็เข้าสู่โลกของการทำงานแบบมืออาชีพกันเลยค่ะ
นั่นจึงเป็นที่มาของหัวเรื่องที่อยากจะบอกเด็กๆ
ทั้งหลายว่า...
...ลูกเอ๋ย...
จงอย่าเปลี่ยนเส้นทาง / ให้เล็งแม่นๆ แล้วมุ่งหน้าไปโดยเร็ว
จงยึดโยงอยู่ในเส้นทางที่เราเลือกและมีความรู้เกี่ยวกับมันมากที่สุด...
ยุคนี้คือยุคสังคมความรู้
จงเลือกทำในสิ่งที่เรามีความรู้มากที่สุด ดีที่สุดแล้วจ้ะ.../
โชคดี แล้วพบกันใหม่นะคะ / สวัสดีค่ะ