#####
สวัสดีค่ะเพื่อนๆ
ทุกคน สิ่งที่จะพูดนี้ก็เคยไม่อยากเอ่ยถึง แต่ก็อดไม่ได้อีกแล้วค่ะ
สังคมบ้านเราตอนนี้กำลังเผชิญกับสภาวะที่คนมีความคิดเห็นที่ต่างขั้วกันอย่างน่าเป็นห่วงนะคะ
ซึ่งฉันมองว่าตอนนี้มันเหมือนได้กลายเป็นหลุมพรางหลุมใหญ่หลุมหนึ่งทีเดียวค่ะ...ใครเผลอตกลงไปก็ยากจะปีนกลับขึ้นมาเลยนะ!
ฉันเองพยายามอย่างมากที่จะไม่พาตัวตกลงไปในหลุมพรางนี้
(แต่ยังสงสัยอยู่ว่า ตอนนี้ฉันเองก็อาจได้ตกลงมาในหลุมนี้เสียแล้วก็เป็นได้)
เอาละค่ะ
เดี๋ยวก็พอจะรู้
.....
เพื่อนๆ
รู้สึกว่ามันน่าเป็นห่วงไหมคะ ฉันว่ามันน่าห่วงตรงที่ว่า
คนเรามองสิ่งเดี่ยวกันแต่กลับตีความไปคนละขั้ว หรือบางทีก็ตีเอียงเข้าข้างตัวเองเฉยๆ
เลย... นี่มันหมายความว่าอะไร มันเกิดอะไรขึ้นในสังคมบ้านเมืองของเราหรือ? นี่พวกเรายืนอยู่บนจุดยืนในผืนแผ่นดินเดียวกันหรือเปล่า?
หากเรายืนบนจุดเดียวกัน เราก็น่าจะมีมุมมองที่คล้ายๆ กันจริงไหมคะ ดังนั้น
การที่คนมองสิ่งเดียวกัน แต่เห็นไปคนละอย่างกัน ย่อมต้องสามารถตั้งสมมติฐานได้ว่า
คนเหล่านี้นั้นต้องยืนมองสิ่งนั้นอยู่คนละจุดกันแน่นอน
อันนี้ไม่ใช่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้
จริงไหม? /
ขอเพียงแต่เราควรรู้ว่า
นี่เรายืนมองสิ่งเดียวกันจากคนละมุมกัน ดังนั้น ย่อมเห็นไม่เหมือนกัน
ที่สำคัญคืออะไร
ที่สำคัญคือเราควรยอมรับว่าเรามองสิ่งเดียวกันจากมุมที่ต่างๆ กัน
ซึ่งมันก็ไม่ได้ทำให้โลกนี้ต้องแตกดับไปมิใช่หรือ? (หากเป็นการมองอย่างสร้างสรรค์
ถ้าจะว่าไป)
ถ้าเรายอมรับความแตกต่างๆ
ว่ามันย่อมเกิดขึ้นได้ในสังคมคนหมู่มาก และหรือหากเราอยากจะได้ชื่อว่านี่เป็นสังคมแบบที่เรียกว่า
“ประชาธิปไตย” หรือว่าความจริงพวกเราไม่อยากกันแน่คะเนี่ย?
ไม่อยากเป็นประชาธิปไตยกันแล้วเหรอคะ?
คงไม่หรอกน่า...
.....
นี่มันทำให้ฉันต้องย้อนกลับไปนึกถึงงานที่ชื่อ
“The Dialogues of PLATO” ผลงานของเพลโต
เขียนถึงบรรยากาศการเคลื่อนไหวทางความคิดปรัชญา สังคม การเมืองในอาณาจักรเอเธนส์ช่วงยุค
400 ปีก่อนคริสต์ศักราช
(เมื่อประมาณ 2400 กว่าปีที่ผ่านมา)
หลังจากที่โสกราตีส ซึ่งเป็นตัวละครเอกเจ้าความคิด ได้ถูกสำเร็จโทษไปแล้วเมื่อราว 399 ปีก่อน ค.ศ. เป็นบรรยากาศของการโต้แย้งทางความคิดในหมู่นักคิดนักปรัชญาที่เกิดขึ้นมากมายในยุคนั้น
และคนทั่วไปก็มีความสนใจที่จะรับฟังการโต้แย้งทางความคิด
และฟังความคิดที่ขัดแย้งด้วยความสนใจอย่างยิ่ง
เหมือนมีความสุขที่ได้โต้แย้งทางความคิดกับคนเก่งๆ
เพราะมันจะทำให้ตนเองปราดเปรื่องขึ้น.... ย้ำ / นั่นคือเมื่อสองพันสี่ร้อยกว่าปีที่ผ่านมา...
แม้แต่บรรยากาศบ้านเราในช่วงก่อนและหลังเหตุการณ์
14 ตุลาคม 2516 (เมื่อประมาณ 40 ปีที่ผ่านมา) ก็เป็นบรรยากาศของการโต้แย้งแลกเปลี่ยนทางปัญญาอยู่อย่างมาก
รู้สึกว่าจะมากกว่าในปัจจุบันนี้นิดนึงนะฉันว่า
ทุกวันนี้
มันกลายเป็นการแยกขั้วอย่างชัดเจน
และต่างขั้วก็ไม่ยินยอมที่จะหันมามองหน้ามองตากันอีกต่อไป...
ช่างเป็นบรรยากาศที่ดูเหมือนกลับสู่ยุคป่าเถื่อน
แถวๆมนุษย์ถ้ำโน่นเลยนะเนี่ย ตั้งแต่ยังไม่พัฒนาภาษาการสื่อสารกัน ต้องใช้ภาษากายเป็นหลัก...
ไม่จริงมั๊งง...
มันน่าจะเป็นหลุมพรางนะ เป็นเหมือนกับดักของความขัดแย้งในสังคม / ขังตัวเอง
กินตัวเอง...
ระวังอย่าตกลงไปง่ายๆ
ใช้ความคิดใคร่ครวญให้มากขึ้นอีกๆ เร็วเข้าๆ
.....
เพื่อนๆ
คะ อย่าพากันตกลงในหลุมพราง / กับดัก นี้เลย เรามาช่วยกันสร้างถากถางทางเดินใหม่ๆ
เพื่อเดินหน้ากันต่อไปดีกว่าค่ะ ใครมีอะไรดีๆ ก็ช่วยกันคิดช่วยกันทำ แชร์กัน
สร้างสรรค์กันขึ้นมา ดีกว่านะคะ อย่ามัวไปคิดสงสัยว่าใครเป็นพวกใครเป็นฝ่ายไหน
ไม่มีหรอกค่ะ ทุกคนก็เป็นคนในสังคมเดียวกัน เติบโตมาด้วยกันไม่ใช่เหรอ?
รักกันไว้
กอดคอกันไว้แล้วไปด้วยกันดีกว่านะ// ขอฝากเป็นแง่คิด / และหวังว่าเรื่องที่เขียนวันนี้จะไม่ถูกตีความแบบเอียงกระเท่เร่ไปข้างใดข้างหนึ่งซะล่ะ!
ด้วยรักและห่วงใยทุกคนเลยค่ะ//
No comments:
Post a Comment