(ชี้แจง
เพื่อนๆ ชาวบล็อกและท่านที่สนใจข้อเขียนในบล็อกนี้ทุกๆ ท่าน ข้อความข้างล่างนี้ เดิมฉันตั้งใจเขียนโพสต์ในบล็อกมอมี่พีเดีย
เพื่อเชิญชวนคุณพ่อคุณแม่ช่วยลูกค้นหาตัวเอง แต่ปรากฏว่ามีอุปสรรคในการโพสต์ข้อความลงในบล็อกดังกล่าว
และเห็นว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกันกับที่เขียนไว้ก่อนหน้านี้
จึงขอนำมาลงไว้ที่นี่เสียเลยนะคะ Enjoy!)
สวัสดีค่ะเพื่อนๆ
และคุณพ่อคุณแม่ชาวบล็อก
วันนี้อยากเข้ามาแลกเปลี่ยนกับเพื่อนๆ
เรื่องหนึ่งที่ติดอยู่ในใจมานานพอสมควรค่ะ และคิดว่าการแลกเปลี่ยนนี้น่าจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อย
#####
บรรดาพ่อแม่ที่เคยเลี้ยงลูกๆ
หรือครูอาจารย์ที่สอนเด็กๆ คงเห็นด้วยกันนะคะว่า
จะมีคำถามหนึ่งที่ตั้งขึ้นสำหรับเด็กๆ นั่นคือ
“โตขึ้นอยากเป็นอะไรๆๆ...”
เด็กๆ
ที่ยังเล็กๆ ชั้นอนุบาล – ประถมศึกษา ก็มักจะมีคำตอบคล้ายๆ กัน เช่น “หนูอยากเป็นครู” “อยากเป็นหมอ”
“อยากเป็นพยาบาล” “นักบิน” ฯลฯ อ้อ / เดี๋ยวนี้มีอีกอย่าง “อยากเป็นนักการเมือง”
อะไรทำนองนี้นะคะ
บางท่านอาจจะรู้สึกได้ว่า
ยังมีอีกๆๆ เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่เด็กๆ คิดอยากเป็นมากขึ้นกว่าแต่ก่อนเยอะ เช่น
อยากเป็นนายธนาคาร นักการเงิน นักการตลาด ประชาสัมพันธ์ ผู้กำกับหนัง
ดารานักร้องนักแสดง (อันหลังนี่มีมากโดยเฉพาะบ้านเรา) ฯลฯ
จริงด้วยค่ะ /
ฉันว่าน่าสนใจตรงที่เดี๋ยวนี้เด็กๆ
สามารถคิดอยากเป็นอะไรๆ ได้มากกว่าแต่ก่อน
มากกว่าเมื่อสักสองสามทศวรรษที่ผ่านมานะคะ
#####
สมัยก่อนโน้น
เราคิดอะไรไม่ค่อยออก หาตัวเองกันไม่ค่อยจะเจอ จนกระทั่งมีชื่อเรียกขานว่า ยุค
“การแสวงหาจิตวิญญาณ” หรือ Soul Searching ซึ่งแสดงออกในรูปแบบวัยรุ่นคนรุ่นใหม่เป็นฮิปปี้ ไว้ผมยาว
ต่อต้านคนรุ่นเก่า ไม่ยอมรับ Anti-establishment การปฏิวัติ ยุคนี้อยู่ในช่วงทศวรรษปี ค.ศ. 1960
-70 นั่นเอง
ปัจจุบันนี้คนรุ่นนี้มีลูกมีหลาน
ขณะที่โลกก็ได้ย่างก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ที่เรียกขานว่า
“ยุคข่าวสารและเทคโนโลยีความเร็วสูง” หรือ
“ยุคสังคมฐานความรู้” (Knowledge – based Society)
ทุกท่านคงทราบดีแล้วว่าเรากำลังอยู่ในยุคใหม่
ที่อะไรๆ ก็จะไม่เหมือนเดิม สังเกตจากระบบการศึกษา
ซึ่งเป็นกลไกหลักในการป้อนกำลังคนเข้าสู่สังคม เราพบว่าสถาบันการศึกษาต่างๆ
มีระบบการเรียนการสอน
ประกอบด้วยวิชาที่ให้เลือกเรียนโดยมีการแยกย่อยมากขึ้นกว่าสมัยก่อนมาก
แสดงว่าระบบสังคมมีความต้องการกำลังคนที่มีความรู้ความสามารถเฉพาะในสาขาต่างๆ
มากขึ้น ซึ่งบางคนอาจได้ยินชื่อ
“ยุคสังคมฐานความรู้” นั่นแหละค่ะยุคที่ว่านี้
นั่นคือที่มาของการที่หลักสูตรการเรียนการสอนที่จะสามารถสร้างคนที่มีความรู้ความสามารถเฉพาะ
จบออกมา แล้วก็เข้าสู่โลกการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
และบนพื้นฐานของสังคมข่าวสารที่มีเทคโนโลยีรองรับความรวดเร็วในการแสวงหาข้อมูลความรู้ต่างๆ
ได้อย่างดีนี่เอง ที่จะมาสนองความอยากรู้ของผู้คนในสังคม เช่น ถ้าฉันชอบแบบนี้ๆๆ
ฉันจะไปแสวงหาความรู้ความชำนาญได้อย่างไร และเมื่อมีความรู้อย่างนี้ๆๆ
ฉันจะเข้าไปทำงานที่ไหนเพื่อสานฝันให้เป็นจริง...
นี่ไงคะ
ความเป็นไปได้ที่เด็กๆ จะสามารถล่าฝันของตัวเองได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด…
และนี่ก็คือความเป็นไปได้ที่ทุกคนจะสามารถค้นพบตัวเองได้เสมอ
#####
เอาละค่ะ
พ่อแม่พี่น้องที่รัก ที่นี่เองแหละคือหน้าที่ของพ่อแม่ผู้ปกครอง และโรงเรียน ที่จะช่วย
Lead ความคิดของเด็กๆ
ช่วยให้เด็กค้นพบความสามารถเฉพาะตัวของเค้า ช่วยให้เขาค้นพบตัวเองได้เร็วขึ้น
เมื่อเด็กค้นพบตัวเองได้เร็ว
เค้าก็จะเติบโตเร็ว ไม่ต้องอยู่ในระบบการศึกษากันนานเป็นสิบยี่สิบปี
เมื่อค้นพบตัวเองแล้ว
เท่ากับว่าเค้ามีความสุกงอม Matured แล้วก็จะอยากออกมาทำอะไรต่ออะไรที่เค้าอยากทำ และเมื่อเค้าทำได้
เค้าก็จะมีความสุขกับสิ่งที่ทำนั้นด้วยค่ะ หรือหากเค้าเกิดไม่ชอบสิ่งที่ทำ
เค้าก็จะสามารถปรับเปลี่ยนของเค้าได้เอง โดยอยู่ใน Scope ความสามารถที่เค้าฝึกฝนตนเองมาตั้งแต่เด็กนั่นเองค่ะ
พ่อแม่พี่น้องที่รัก
การศึกษาและพัฒนาการของลูกๆ ก็คือการเรียนรู้ของคนๆ หนึ่งที่จะพบตัวเองว่า
เราเกิดมาเพื่อทำอะไร เดี๋ยวนี้มีฐานรองรับที่จะค้นพบตัวเองได้ไม่ยากแล้วค่ะ
ช่วยลูก ช่วยให้เค้าพบตัวเองได้เร็วๆ กันเถอะค่ะ
ฉันเชื่อในสิ่งนี้ว่าเราทำได้ /
ขอให้ทุกท่านโชคดี / สวัสดีค่ะ
No comments:
Post a Comment