สำนัก สปท.
ที่ยังตราตรึงในความทรงจำ
ขอบคุณภาพทิวทัศน์คุนหมิงจากเน็ต |
กลับมาสวัสดีทุกท่านอีกครั้งหลังจากหยุดพักเบรกไปสองสามวันนะคะ
บันทึกรำลึกอย่างย่อชุดนี้ก็ดำเนินมาจนถึงช่วงปลายใกล้จบแล้วค่ะ ใคร่ครวญดูแล้วก็น่าจะเหลืออีกประมาณ
3 ตอนรวมทั้งตอนนี้ด้วย
ก็จะถึงวาระอวสานตามกรอบเวลาที่ตั้งไว้เพื่อรำลึกเหตุการณ์เรื่องราวที่ฉันผ่านพบในช่วงนี้โดยเฉพาะแล้วนะคะ
หากทุกท่านสังเกตก็จะพบว่า ฉันได้เลือกเล่าบางเหตุการณ์เพื่อให้มองเห็นภาพใหญ่ที่เชื่อมร้อยในระยะเวลารวมทั้งหมดประมาณ
5
ปีที่ฉันรอนแรมอยู่ทั้งในป่าเขาและในต่างประเทศ ซึ่งในแต่ละตอนก็ได้อมเหตุการณ์ย่อยต่างๆ
ไว้มากมายที่ฉันไม่ได้นำมาเขียนเล่า เพราะมิฉะนั้น
เรื่องรำลึกชีวิตนี้มันก็จะไม่สามารถจบลงใน 15 ตอนแบบนี้ละค่ะ เอาไว้หากว่าใครอยากจะคิดทำซี่รี่แบบเกาหลีนะ
ก็จะกลับมาลงแรงเขียนต่อเติมเพิ่มเข้ามาเอาให้ดุเด็ดเผ็ดมันชนิด dig deep ลงในรายละเอียดเชิงมหากาพย์กันอีกทีละกันนะคะ
ในตอนนี้
จะเล่าบรรยากาศในสำนัก สปท. ระหว่างที่ฉันเข้าไปร่วมทำงานและนำเสนอภาพเหตุการณ์ที่ยังเหมือนสดใหม่อยู่ในความทรงจำของแท้ๆ
แบบอินสแต้นท์จากมุมมองของฉัน เพราะสหายท่านอื่นๆ ก็อาจจะมีมุมมองที่ต่างไปจากฉัน
เป็นอันเข้าใจร่วมกันตามนี้นะคะ
สำนัก สปท. หรือสถานีวิทยุเสียงประชาชนแห่งประเทศไทย
ในมุมมองของฉันในช่วงที่ฉันได้มีโอกาสเข้ามาร่วมทำงาน เป็นสำนักของคนทำงานสื่อค่ะ
ฉันประจำอยู่ในกองบรรณาธิการติดตามข่าวเขียนรายงานข่าวต่างประเทศ ซึ่งในกองก็มีสหายร่วมทำงานอยู่ทั้งหมดประมาณ
4-5 คน
ดูเหมือนฉันจะอาวุโสน้อยสุดในเวลานั้น ส่วนกองข่าวในประเทศดูเหมือนจะเป็นกองใหญ่
มีสหายอาวุโสทำงานอยู่มากหน้าหลายตา รวมทั้งสหายพจน์ก็อยู่ในกองนี้ด้วยค่ะ
เวลาในการทำงานในสำนักแบ่งออกเป็น 3 ช่วง
คือเช้าถึงเที่ยงวัน หลังรับประทานอาหาร (มีโรงครัวแยกต่างหาก ห้องอาหารรวมเป็นแบบโต๊ะจีนมีสหายร่วมโต๊ะกันประจำประมาณ
6-10 คน) มีช่วงพักนอนงีบตอนบ่าย (Siesta แบบคนฝรั่งเศส
ซึ่งทิ้งเป็นมรดกไว้ในประเทศอินโดจีน) ประมาณ 1-2 ชั่วโมง
เริ่มทำงานช่วงที่สองประมาณบ่ายสองโมงเศษๆ
ไปจนถึงประมาณ 4-5 โมงเย็น
เลิกงาน สหายก็จะมีเวลาออกกำลังกาย บ้างก็เล่นวอลเล่ย์บอล (สหายพจน์เล่นจนนิ้วซ้นไป
1 นิ้ว) บ้างก็ตีปิงปอง
(ฉันจองโต๊ะปิงปองประจำเลยค่ะ) สหายอาวุโสบางคนจะเดินตามถนนในสำนักซึ่งกว้างยาวไม่น้อยค่ะ
จากนั้นก็อาบน้ำในโรงอาบน้ำที่มีเตาต้มน้ำใหญ่ควันโขมงอยู่ตลอดเวลา รับประทานอาหารเย็นประมาณ
6 โมงเย็นถึงหนึ่งทุ่ม จะมีการทำงานอีกช่วงหนึ่งระหว่าง
2 ทุ่มเศษ ถึงประมาณ 4-5 ทุ่ม แต่บางทีสหายบางคนงานเร่งบ้างไม่เสร็จบ้างอะไรบ้าง
บรรยากาศการทำงานแบบโต้รุ่งต้มบะหมี่ชงกาแฟหยาดหยดแบบเวียดนามข้างเตาผิงกลางห้องทำงานจึงเป็นบรรยากาศปกติธรรมดาของกองบรรณาธิการนี้เลยละค่ะ
ดังนั้น
ทุกท่านเมื่อหลับตานึกภาพตามฉันมาเรื่อยๆ ก็คงเข้าใจแล้วละค่ะว่า ที่ทำงานของฉันนั้นแวดล้อมด้วยนักเขียนนักวิเคราะห์ข่าวสาร
ผู้ใช้และมากด้วยจินตนาการอย่างสูง เพื่อผลิตต้นฉบับที่เมื่อได้รับการนำไปอ่านออกอากาศทางวิทยุ
ผู้รับสารที่เป็นสหายทั้งแนวหลังแนวหน้ารวมทั้งประชาชนทั่วไปที่สนใจ
ก็จะได้รับข่าวสารฟังการวิเคราะห์สรุปเสนอแนวคิดต่างๆ ที่เต็มไปด้วยหลักการและความมีชีวิตชีวาที่ช่วยให้เข้าใจได้ง่ายนั่นเองค่ะ
แน่นอนที่สุดค่ะ
กองข่าวต่างประเทศที่ฉันร่วมงานอยู่ในครั้งนั้น มีบรรยากาศต่อต้านจักรพรรดินิยมอเมริกาอย่างเข้มข้นมากๆ
เพราะในครั้งนั้นอเมริกาสนับสนุนเผด็จการ ดังนั้น มันจึงสอดคล้องมากกับอารมณ์เกลียดจักรพรรดินิยม
เกลียดเผด็จการอย่างมากของฉัน (ช่วงนั้นการต่อต้านอเมริกาเป็นกระแสใหญ่สะพัดไปทั่วโลก)
และในระหว่างนั้นเองสถานการณ์ของอเมริกาก็กำลังแย่เนื่องจากเพิ่งพ่ายแพ้ในสงครามเวียดนามต้องล่าถอยต้องถอนทหารนับแสนคนออกจากสมรภูมิที่เวียดนาม
เราจึงพบว่าการเคลื่อนไหวของอเมริกามักจะเข้าแนวทางการวิเคราะห์ของฝ่ายประชาชนที่ว่า
จักรพรรดินิยมนั้นใกล้ตายชอบที่จะยกก้อนหินทุ่มขาตัวเองอยู่ประจำ คือมักจะเลือกทำอะไรๆ
ที่จะทำให้ตัวเองแย่ลงเรื่อยๆ เสมอ
และตามประสาการมองไกลไปข้างหน้าเสมอของเหล่านักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยทั้งปวง
ก็ทำให้คนในขบวนการนี้มักจะมีจินตนาการเห็นทะลุทะลวงไปว่า แม้หนทางจะคดเคี้ยว
แต่การต่อสู้ของประชาชนนั้นถูกต้องมีความเป็นธรรม จึงมีอนาคต และจะได้รับชัยชนะในที่สุดอย่างแน่นอนค่ะ
ขวัญกำลังใจสูงมากๆ ในเวลานั้น
อย่างไรก็ตามสหาย
ในสำนักก็ใช่ว่าจะนั่งอึดทึดอยู่แต่ในเก้าอี้เท้าแขนกันทั้งวันทั้งคืน
ดังที่กล่าวแล้วว่า มีช่วงเวลาการพักการทำงานการเล่นกีฬา นอกจากนั้นยังมีช่วงของการบันเทิง
มีวันหยุดที่ได้ออกไปซื้อของในเมืองคุนหมิง มีการจัดทัศนศึกษาเดินทางไปเยือนสถานที่สำคัญต่างๆ
เป็นระยะๆ เช่นไปปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ ฟุเจี้ยน หูหนาน เป็นต้น และที่สำคัญ
สหายทุกคนมีโอกาสร่วมใช้แรงงานในแปลงผักหลังสำนัก ที่มีทั้งผักกาด คะน้า กะหล่ำปลี
กะหล่ำดอก ถั่วลันเตา มีการสับเปลี่ยนกันไปรดน้ำรดปุ๋ย เก็บเกี่ยว ฯลฯ
เป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ
เอาละค่ะ
ทั้งหมดที่เห็นและเป็นอยู่นั้น ก็เป็นที่ทราบกันว่า หลักๆ มาจากการช่วยเหลือของพรรคคอมมิวนิสต์จีน
รวมทั้งพรรคพี่น้องในอินโดจีนที่เป็นเสมือนหลังพิงที่สำคัญให้แก่พรรคไทยนั่นเอง คิดง่ายๆ
ถ้ามีสำนักทำนองนี้ตั้งอยู่บนผืนแผ่นดินไทย ก็คงถูกทิ้งระเบิดราบเป็นหน้ากลองไปนานแล้วนั่นเอง///
No comments:
Post a Comment